นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โสภณ เมฆธน ประธานคณะกรรมการอำนวยการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโควิด-19 และนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ร่วมแถลงผลการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 ว่า ที่ประชุมได้มีการหารือถึงการจัดการวัคซีนโควิด-19 จากแอสตราเซเนกา จำนวน 50,000 โดส ที่สั่งซื้อมาจากอิตาลี โดยขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าวัคซีนจะมาถึงไทยเมื่อไร แต่อาจไม่สามารถเริ่มดำเนินการฉีดได้ตามเป้า 14 กุมภาพันธ์ แต่คาดว่าวัคซีนคงถึงไทยภายในเดือนกุมภาพันธ์ แน่ เนื่องจากติดปัญหาการขนส่ง และทางอียูจำกัดการส่งออกวัคซีน ซึ่งเมื่อมาถึงต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก่อน จึงจะสามารถเริ่มดำเนินการฉีดได้ ควบคู่กับการสำรวจความสมัครการรับวัคซีนผ่านไลน์บัญชีทางการ "หมอพร้อม"
นายอนุทิน กล่าวว่า วัคซีนลอตนี้เป็นการเจรจาสั่งซื้อแบบ Partnership ซึ่งมาลอตแรกก่อน 50,000 โดส จากนั้นทยอยมาอีก 100,000 โดส จนครบ 150,000 โดส
พร้อมกันนี้ ได้มีการปรับเพิ่มหลักเกณฑ์ผู้รับวัคซีนอีกหนึ่งกลุ่ม ได้แก่ คนอ้วนที่มีน้ำหนัก 100 กิโลกรัม หรือคนที่มี BMI. 35 นอกเหนือจากบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ผู้ป่วยโรคประจำตัว ปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตเรื้อรังระยะ 5 โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งทุกชนิดที่อยู่ระหว่างเคมีบำบัด รังสีรักษา โรคเบาหวาน และผู้สูงอายุ 60 ปี รวมถึงบุคลากรที่ทำหน้าที่ควบคุมโรคโควิด-19 เช่น อสม.
นายอนุทิน ยืนยันว่า การฉีดวัคซีนโควิดนี้จะฉีดให้กับคนที่อยู่ในผืนแผ่นดิน โดยไม่มีการแบ่งแยก เพราะเป็นเรื่องของการควบคุมโรค โดยเน้นให้พื้นที่ที่มีการระบาดได้รับก่อน พร้อมเตรียมให้ สสส. เร่งทำการสื่อสารสร้างความเข้าใจกับประชาชนในการรับวัคซีน เพื่อคลายกังวลเรื่องผลกระทบที่จะได้รับ เพราะการรับวัคซีนเป็นเรื่องของความสมัครใจ โดยจะจัดทำวิดีโอความรู้ให้กับประชาชนรับทราบ โดยประสิทธิภาพของวัคซีนจะช่วยลดความรุนแรงของโรค การติดเชื้อยังสามารถเกิดขึ้นได้ แต่อัตราการตายลดลง