วันนี้ (19 ม.ค.) นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” โดยระบุว่า ตนได้รับข้อมูลจากพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่ส่งมากรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การนำเข้าวัคซีนที่มีการเชื่อมโยงกับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด โดยโยงเกี่ยวการเมือง และใช้คำว่า ‘วัคซีนพระราชทาน’ เพื่อสร้างคะแนนนิยม และไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน พร้อมโจมตีรัฐบาลว่าเพราะเหตุใดประเทศไทยถึงยังไม่มีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ถ้าเป็นผลดีจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศกลับมาดีขึ้น แต่สิ่งที่นายธนาธรพยายามโจมตีรัฐบาลเพื่อดิสเครดิตในเรื่องของตัววัคซีนและให้ข้อมูลเท็จกับประชาชน ตนจึงต้องออกมาชี้แจงความจริงเพราะอาจกระทบเป็นวงกว้าง
นายสามารถกล่าวอีกว่า ตนได้ดูคลิปไลฟ์สดของนายธนาธร ก็รู้สึกว่ามีความย้อนแย้งในสิ่งที่พูดออกมาตั้งแต่ใช้คำว่า “พระราชทาน” หรือทำไมรัฐบาลไม่จัดหาวัคซีนให้เร็วกว่านี้ และทิ้งท้ายว่าหากมีปัญหาในการแจกจ่ายวัคซีนใช้แล้วมีอันตรายใครจะรับผิดชอบ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยต่อประชาชนเป็นอันดับแรก และยึดหลักแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้คนไทยทั้งประเทศ ทั้งนี้ การแก้ปัญหาโควิด-19 ก็ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก
นายสามารถกล่าวต่อว่า นายธนาธรคงมีปัญหาเรื่องแนวความคิดซึ่งเคยเตือนแล้วว่าควรออกห่างจาก นายปิยบุตร แสงกนกกุล แต่ไม่เคยเชื่อ ซึ่งนายธนาธรคงขาดข้อมูลความรู้ จึงขออธิบายเรื่องการฉีดวัคซีนโควิด-19 ว่า เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 64 คณะกรรมการฉุกเฉินโรคโควิด-19 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำนานาประเทศให้ยกเลิกเงื่อนไขที่ว่า ผู้ประสงค์จะเดินทางระหว่างประเทศจะต้องเคยฉีดวัคซีนป้องกันหรือแสดงหลักฐานว่ามีภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 เนื่องจากที่ประชุมครั้งที่ 6 ของคณะกรรมการฯ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ม.ค. ระบุว่า คำแนะนำข้างต้นมาจากเหตุผลที่ว่า “ยังมีข้อมูลสำคัญที่เราไม่ทราบแน่ชัดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการฉีดวัคซีนเพื่อลดการแพร่เชื้อ” และวัคซีนที่พร้อมใช้งานในปัจจุบันนั้นยังคงมีจำนวนจำกัดอย่างมาก โดยคณะกรรมการเห็นพ้องกันว่าการแพร่ระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ยังคงเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (PHEIC) พร้อมชี้ว่า WHO ควรพัฒนาและเผยแพร่จุดยืนด้านนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขดังกล่าวโดยเร็ว โดยควรประสานงานด้านการกำหนดมาตรฐานสำหรับเอกสารดิจิทัลที่ระบุสถานะการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
นายสามารถกล่าวว่า ข้อมูลดังกล่าวนายธนาธรเคยรับทราบหรือไม่ แม้แต่ WHO ยังเป็นห่วงเรื่องการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยคณะกรรมการย้ำเตือนให้ข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพแก่ WHO โดยเร็ว เพื่อเดินเรื่องอนุมัติการใช้ในกรณีฉุกเฉิน เนื่องจากการขาดแคลนข้อมูลดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคต่อการสร้างความมั่นใจว่าทั่วโลกจะสามารถจัดหาวัคซีนได้อย่างทันเวลาและเป็นธรรม นอกจากนี้ ตนคิดว่านายธนาธรมองแต่โทสาคติ เอาแต่ความคิดตัวเอง แต่ขาดหลักฐานข้อมูลสนับสนุน ตนอยากบอกประชาชนในเรื่องพรรคการเมืองของนายธนาธรเองก็ยังกู้ยืมเงินทำให้ผิดหลักกฎหมายจนถูกยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมือง แต่ไม่เคยปฏิบัติตนตามคำพิพากษาศาลเลย
ขอยกกรณีในต่างประเทศมีการเร่งรีบฉีดวัคซีนและได้รับอันตราย เช่น ประเทศอังกฤษได้มีการเสียชีวิต 2 รายหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 ก็มีจำนวน 2 รายพบผลข้างเคียงแรงมากระดับเรียกว่าช็อก โดยทั้ง 2 รายนี้เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขโดยบริการฉีดให้แก่อาสาสมัคร 19,000 ราย มีปรากฏว่าแพ้ปานกลาง 137 ราย ที่ประเทศอินเดีย เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลอินเดียก็ดับหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้ว 24 ชั่วโมง เมื่อวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา และเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 64 ก็มีผู้เสียชีวิตหลังจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ประเทศนอร์เวย์พบผู้เสียชีวิต 23 คน ซึ่งที่นอร์เวย์ฉีดไปแล้ว 33,000 คนทั่วประเทศ นี่คือตัวเลขที่มีการเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีน นั่นคือสิ่งที่ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องมีการพิจารณาถึงความปลอดภัยของพ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศเป็นหลัก หาได้ต้องหาเสียงแบบที่นายธนาธรให้ข้อมูลเท็จแก่ประชาชนไม่
“รัฐบาลมีความเป็นห่วงพ่อแม่พี่น้องประชาชน ต่างจากนายธนาธรที่มุ่งเอาแต่ชนะหวังผลทางการเมือง ปล่อยข้อมูลเท็จสร้างความสับสน จึงอยากเตือนว่าควรมองผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นหลัก สุดท้ายผมไม่กล้าคิดว่าหากนายธนาธรฟลุกเป็นนายกฯ ขึ้นมาประเทศไทยจะติดโควิด-19 และเดือดร้อนเสียหายมากแค่ไหน พ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกคนคงขนหัวลุกหากมันเกิดขึ้นจริง ท้ายนี้ขอให้นายธนาธรหัดพูดความจริงกับประชาชน และหัดฟังให้มากพูดให้น้อย ไม่งั้นคนที่จะได้รับความเดือดร้อนคือตัวนายธนาธรเอง”