เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่าในเวลานี้จะมีเรื่องใหญ่ที่น่าสนใจอย่างเรื่องการแพร่ระบาดรอบใหม่ของเชื้อโควิด-19 แต่เมื่อมองในภาพรวมๆ ก็ได้เห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่เริ่มทรงตัวและลดลงจากก่อนหน้านี้ ที่เป็นหลักหลายร้อยราย มาเป็นสามร้อย สองร้อย และล่าสุด เมื่อวันที่ 13 มกราคม จากการแถลงของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศคบ.) พบว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่เหลือ 157 ราย แต่เป็นติดเชื้อภายในประเทศ จำนวน 132 ราย ถือว่าลดลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับผู้ติดเชื้อก่อนหน้านี้แบบวันต่อวัน
แต่ก็ยังไม่อาจวางใจได้มากนัก เพราะตัวเลขยังเป็นหลักร้อย โอกาสกลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกก็ยังเป็นไปได้
อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาเดียวกันก็ได้เวลาหันไปมองรอบตัวบ้าง ก็ได้เห็นความขัดแย้ง ชิงดีชิงเด่นภายในพรรคเพื่อไทย ที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีทีท่าว่าจะลดระดับลงไปแต่อย่างใด โดยเฉพาะเสียงการโจมตีถากถางอีกฝ่ายที่เชื่อว่าต้องย้ายออกจากพรรคไปร่วมก่อตั้งพรรคใหม่ได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงแบบไม่ไว้หน้ากันเลย
เมื่อสำรวจปฏิกิริยาดังกล่าวที่ออกมาจากคนในพรรคเพื่อไทย ที่ปรากฏออกมาทางสื่อโซเชียลฯ เริ่มจาก “นายพิชัย นริพทะพันธุ์” รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยเข้มแข็งและแข็งแกร่ง พรรคไม่ได้ปั่นป่วนตามที่มีกระแสข่าวการโจมตีแต่อย่างใด พรรคมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถครบทุกด้าน และมีคนรุ่นใหม่ที่เก่งและฉลาด พรรคมีแนวทางและหลักคิดที่ดี ซึ่งจะเป็นความหวังของประเทศและประชาชนได้อย่างแน่นอน
“กระแสความสับสนน่าจะเกิดมาจากการสร้างกระแสของกลุ่มคนที่ออกจากพรรคไปแล้ว แต่พยายามสร้างความปั่นป่วนเพื่อให้พรรคดูสั่นคลอน โดยอยากขอเตือนไปยังผู้ที่ออกจากพรรคไป และพยายามสร้างความปั่นป่วนให้กับพรรค ทั้งที่พรรคได้ให้โอกาสและเคยได้รับการสนับสนุนจากพรรคจึงไต่เต้าขึ้นมาได้ อย่าได้คิดอกตัญญูโดยการให้ร้ายพรรค เพราะจะสะท้อนภาพลักษณ์ที่แย่ไปหากลุ่มคนเหล่านั้นเอง” เขาระบุ
ตามมาด้วย “นายวรชัย เหมะ” อดีต ส.ส.สมุทรปราการ อดีตคนเสื้อแดงพรรคเพื่อไทย บอกว่า ในบริบทของพรรคเพื่อไทยมีการพัฒนามาจากพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน จนถึงพรรคเพื่อไทย วันนี้ในสถานการณ์โควิด เป็นเรื่องที่ทุกองค์กรต้องมีการเปลี่ยนแปลง เหมือนกับต้นไม้ที่ผลิใบใหม่อยู่ทุกปี พรรคเพื่อไทยก็เช่นเดียวกัน คนรุ่นเก่าออกไป คนรุ่นใหม่ก็เข้ามาแทนที่ ความคิดล้าหลังก็ต้องหมดไป ความคิดใหม่ๆ มาแทนที่ ที่สำคัญที่สุด พรรคเพื่อไทย มีจุดแข็งสองเรื่องคือ จุดยืนเรื่องประชาธิปไตยที่มั่นคง และผู้ใหญ่ของพรรคมีความรู้เรื่องเศรษฐกิจและความรู้รอบด้าน จึงมีคำถามว่า การนำที่ผ่านมาก่อนการเปลี่ยนแปลงล่าสุดนั้น พรรคเป็นอย่างไร เดินไปข้างหน้า อยู่กับที่ หรือถอยหลัง เชื่อว่าหลายคนคงมีคำตอบในใจ
ดังนั้น พรรคจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทั้งการนำของคน นำบุคลากรของพรรคที่มีความน่าเชื่อถือ และมีความสามารถเข้ามาทำหน้าที่บริหารพรรค เพื่อนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งต่อไปอย่างแน่นอน คนที่ออกไปไม่สามารถนำพรรคไปสู่ชัยชนะได้ ต้องยอมรับให้คนอื่นที่มีความสามารถเข้ามาทำหน้าที่แทน และเมื่อออกไปแล้ว ขอให้คิดถึงอดีตว่า พรรคเพื่อไทยเป็นบ้านที่เคยอยู่ อย่าหันกลับมาทำร้ายพรรค
แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยชื่อว่าเป็นใคร แต่พอจะจับใจความได้ในแบบที่ว่า มีคนที่ออกจากพรรคไปแล้วหันกลับมาโจมตีให้ร้ายพรรค และที่สำคัญ มีการกล่าวหาว่าออกไปแล้วยังไม่พอ ยัง “หันกลับมาตกปลาในบ่อเพื่อน” เสียอีก ความหมายก็คือ ยังดึงเอาคนในพรรคเพื่อไทยออกไปอีก ซึ่งเชื่อว่าการดึงหรือ “ดูด” ออกไปนั้นไม่น่าจะใช่แค่คนสองคนเท่านั้น แต่น่าจะเป็นกลุ่มเป็นก้อน ที่ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนกับพรรคเพื่อไทยอย่างรุนแรงไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงได้โวยวายกันแบบนี้
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ติดตามความเคลื่อนไหวภายในพรรคเพื่อไทย ก็จะพบว่า กลุ่มที่ลาออกไปจากพรรคที่รับรู้กันก็คือ กลุ่มที่นำโดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตประธานยุทธศาสตร์พรรค ที่จากไปพร้อมกับแกนนำของพรรคหลายคน และเชื่อว่ายังจะมีตามออกไปอีกหลายคน หากถึงจังหวะเหมาะสม โดยเฉพาะคนที่ยังเป็น ส.ส.อยู่ในขณะนี้ เนื่องจากยังไม่ต้องการพ้นสภาพ ส.ส.ก่อนเวลา
นอกเหนือจากนี้ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ยังมีการแฉกันอีกว่ามี ส.ส.พรรคเพื่อไทยบางคนได้ทำการล็อบบี้ ส.ส.ของพรรค ให้มีการถอนชื่อออกจากญัตติการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณาวินิจฉัยถอดถอน “นายสิระ เจนจาคะ” ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ จนในที่สุดก็มีการถอนชื่อออกมา จนทำให้มีรายชื่อไม่ครบจำนวนตามกฎหมายกำหนด จนญัตติดังกล่าวต้องตกไป ซึ่งกรณีนี้ก็สะท้อนภาพให้เห็นแล้วว่า เกิดสภาพ “งูเห่า” ภายในพรรคอย่างชัดเจน
และที่น่าจับตาก็คือ ในช่วงอภิปรายญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจทั้งคณะของรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำในการยื่นญัตติซักฟอกในราวปลายเดือนนี้จะมีรายการ “โหวตสวน” อีกกี่ราย หลังจากมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังต้องจับตาอีกว่า ส.ส.ในกลุ่มของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จะได้รับโอกาสให้อภิปรายด้วยหรือไม่ เพราะรู้ล่วงหน้าแล้วว่าพวกนี้ต้องย้ายไปร่วมกับพรรคใหม่ที่กำลังก่อตั้งขึ้น แต่เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาแล้วรับรองว่าป่วนแน่ เนื่องจากจะเกิดความระแวง มีการ “กั๊กข้อมูล” กีดกันกันเองหรือไม่ ชวนติดตามอย่างยิ่ง !!