“ทัวร์ลง” อย่ากลัว! “ดร.อานนท์” แนะ 12 วิธี “สุดยอดแห่งหลักธรรม” รับมือ “พี่ศรี” จัดหนัก “เจี๊ยบ คอนถม” โพสต์รัฐบาลเฮงซวย เข้าข่ายผิดหลายมาตรา รวมประมวลจริยธรรม ส.ส.ด้วย “วันชัย” เล่นบทหมอดู ทำนาย “ปีทองคดีทอน”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (6 ม.ค. 64) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า เขียนบทความบนเฟซบุ๊กเรื่อง “สิบสองคำแนะนำสำหรับผู้ที่ถูกทัวร์ลง หรือเอาเราไปด่าลับหลัง เมื่อเรากำลังต่อสู้เพื่อความถูกต้องและส่วนรวม”
โดยระบุว่า ผมขอแบ่งปันธรรมะและวิธีการยืนระยะในการต่อสู้เพื่อความถูกต้องและส่วนรวมแด่กัลยาณมิตรทั้งหลาย ขอให้พรปีใหม่นี้จงมีแด่ทุกท่าน ให้เจริญในธรรมด้วยกันยิ่งๆ ขึ้นไป
สิบสองคำแนะนำมีดังนี้
หนึ่ง คนที่ไม่เคยมีจุดยืนอะไรเลย แม้แต่บนส้นเท้า ก็จะไม่มีความขัดแย้งใดๆ แต่หากเรามีจุดยืน ก็จะมีคนชอบไม่ชอบ รักและเกลียด เป็นธรรมดา เป็นโลกธรรม
สอง หมาเยี่ยวรดภูเขาทอง ภูเขาทอง ก็ยังศักดิ์สิทธิ์ มหาชนก็ยังกราบไหว้บูชาภูเขาทองอยู่ดีนั่นเอง ทำการใหญ่ จิตใจต้องแข็งแกร่ง กว้างใหญ่ ดุจดั่งภูเขาทอง หากแม้นหมามันจะเยี่ยวรดไปบ้าง ก็ไม่จำเป็นต้องวิตกจริต ไม่จำเป็นต้องปรุงแต่ง ไม่มีเหตุอันใดให้จิตตก แต่อย่างใด
สาม ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม หากเราทำในสิ่งที่ถูกต้อง จะถูกนินทา ใส่ร้าย ว่าร้าย ก็อย่าได้กระทบ อย่าได้มีทุกข์ใจ อย่าได้มีความเจ็บแค้น
สี่ พระจันทร์ไม่ขึ้น หมาไม่หอน หากสิ่งที่เราทำจริงไม่มีผลกระทบใดๆ ให้คนบางกลุ่มบางพวก หรือคนที่ชั่วร้ายได้รับผลกระทบกระเทือน ก็จะไม่มีทัวร์ลง ไม่มีคนมาด่าเรา แต่ประการใด
ห้า ยิ่งคนชั่วด่าเราลับหลังมากเท่าไหร่ ยิ่งแสดงว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้องตามทำนองคลองธรรมแล้ว ทำให้คนชั่วยิ่งดิ้น ยิ่งทุกข์ร้อน ยิ่งทุรนทุรายมากไปเท่านั้น
หก การรบใดๆ ก็ตาม แม้เราจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง หรือต่อสู้เพื่อความถูกต้อง เพื่อสาธารณประโยชน์ใดๆ ก็ตาม แม้คนที่เราต่อสู้กับเขาจะเป็นคนชั่วช้าปานใดก็ตาม จงแผ่เมตตาให้ศัตรูเหล่านั้นอยู่เสมอเป็นเนืองนิจ คนเหล่านี้อาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรามาแต่ภพชาติปางไหนก็ได้ และเราก็อาจจะเคยมีกรรมหรือทำร้ายเขามาก่อนเช่นกัน จงแผ่เมตตาและจงให้อภัย
เจ็ด ต้องรู้จักมีอารมณ์ขันกับการถูกด่า โดยเรื่องที่เป็นเท็จ และขั้นสุดคือมีความสุขและสงบเย็นได้ ไม่ใช่เป็นการเย้ยหยัน แต่เป็นภาวะของจิตใจที่สูงกว่าและเหนือกว่า อย่างคนที่เข้าใจโลกและชีวิต ให้มองว่ามันคือ ตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นปัจจัยหนุนนำต่อเนื่อง ขอให้เราตระหนักว่า พึงชำนะความโกรธ ด้วยความไม่โกรธ
แปด การรู้จักปกป้องตนเองสามารถทำได้ แต่ให้ทำอย่างมีสติและปัญญา ในหลายกรณีการนิ่งเฉยอาจจะเป็นการยอมรับได้ และขอให้ตอบโต้ด้วยสัจจะ คือ ความจริงและข้อมูลอันถูกต้องแม่นยำ
เก้า หากในเบื้องต้น จิตใจยังไม่เข้มแข็งพอที่จะอ่านข้อความด่าทอตัวเราหรือทัวร์ลง ขอให้ไม่ต้องไปอ่านมัน และไม่ต้องไปใส่ใจมัน จนกว่าที่เราจิตใจเข้มแข็งมีธรรมะเพียงพอ มีภูมิคุ้มกันทางใจเพียงพอที่จะรับรู้อย่างเท่าทัน ไม่ปรุงแต่ง
สิบ การมีกัลยาณมิตร ที่คอยปกป้อง ให้กำลังใจ ร่วมต่อสู้ เป็นสิ่งที่จำเป็น งานใหญ่ใดๆ ก็ตามไม่อาจจะทำได้โดยคนเพียงคนเดียว ขอให้เราแสวงหาและสร้างกัลยาณมิตร ประคองธรรมร่วมกันกับกัลยาณมิตรในการต่อสู้กับอธรรมทั้งปวง
สิบเอ็ด หากมีความจำเป็นก็สามารถฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายได้ เช่น การฟ้องร้องหมิ่นประมาท แต่ต้องแน่ใจว่ามีความพร้อมทางการเงิน ความรู้ทางกฎหมาย หลักฐาน หรือหลักฐานดิจิทัล เป็นต้น ต้องคิดให้ดี วางแผนให้ดีและรอบคอบ
สิบสอง ทบทวนตนเองอยู่เสมอว่าตนเองยังต่อสู้บนทางแห่งธรรม เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมและประเทศชาติอยู่หรือไม่ หากเราไม่หลง ไม่อวดทะนงจนเกินไป ไม่มั่นใจจนเกินไป จะทำให้เรายืนระยะบนการต่อสู้บนเส้นทางแห่งธรรมไปได้เรื่อยๆ ตราบใดที่เรายังรักษาธรรมและหลักการความถูกต้องแห่งการต่อสู้
ทั้งหมดนี้คือการปฏิบัติธรรม ผมได้เรียนรู้ และต้องพยายามเรียนรู้ และปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เพราะยิ่งเราต่อสู้เพื่อความถูกต้องมากเท่าใด จิตใจของเราต้องไม่ทุกข์ และไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เราต้องรักษาใจของเราให้สะอาด บริสุทธิ์ เข้มแข็ง และมีพลังในการต่อสู้เพื่อความถูกต้องต่อไป
ธรรมสวัสดี จงมีแด่ทุกท่านที่ต่อสู้โดยธงธรรมนำหน้าเพื่อสังคม ประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ขณะเดียวกัน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏเป็นการทั่วไปในโซเชียลมีเดียและสื่อสารมวลชนได้รายงานเป็นการทั่วไปเมื่อวันที่ 5 ม.ค. 64 ว่า นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้เขียนโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ Amarat Chokepamitkul และเฟซบุ๊ก Amarat Chokepamitkul อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล โดยมีข้อความเหมือนกันทั้งสองเฟซบุ๊ก
ความว่า “เรามีรัฐบาลที่โหนเจ้าและเกาะเชื้อโรคเพื่ออยู่รอดไปวันๆ ส่งลูกไปเที่ยวห้างได้ แต่ส่งไปโรงเรียนไม่ได้ กับอีกหลายมาตรการรับมือโควิด-19 ของรัฐบาลเฮงซวยที่มีแต่ความลักลั่น” นั้น
การโพสต์ข้อความดังกล่าว ชี้ให้เห็นถึงการมี “เจตนา” ที่จะใช้ข้อความดังกล่าว ให้บุคคลที่สามหรือผู้ที่เห็นหรืออ่านข้อความรู้สึกเกลียดชังรัฐบาล เนื่องจากคำว่า “เฮงซวย” เป็นคำผรุสวาทที่วิญญูชนทั่วไปต่างเข้าใจดีว่าเป็นคำหยาบ
และตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2554 ให้หมายความคำว่า “เฮงซวย” ว่า เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ คุณภาพต่ำ ไม่ดี ซึ่งมีความหมายในทางเสื่อมเสีย การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นผู้ทรงเกียรติ ได้เขียนโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กสื่อสาธารณะโดยใช้คำว่า “เฮงซวย” เพื่อประจานรัฐบาลให้ปรากฏต่อสาธารณะ จึงเป็นถ้อยคำที่เป็นการดูถูกเหยียดหยามและสบประมาทรัฐบาลของประเทศ
การกระทำดังกล่าว จึงอาจเข้าข่ายเป็นความผิด ฐานหมิ่นประมาท และหรือดูหมิ่นผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา ม.136 ม.326 และหรือ ม.393 โดยชัดแจ้ง ซึ่งลักษณะดังกล่าว มีแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วหลายคำพิพากษา อาทิ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1623/2551, คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3920/2562 เป็นต้น ซึ่งการด่ารัฐบาลนั้น เคยมีการตีความว่า รัฐบาลเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ คือ คำพิพากษาของศาลฎีกาเลขที่ 3578/2560 เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังอาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2550 แก้ไขเพิ่มเติม 2560 ม.14(2) ซึ่งต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
และที่สำคัญคือ การฝ่าฝืนข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ 2563 ข้อ 9 ข้อ 10 ข้อ 11 และข้อ 12 ที่ระบุไว้ชัดแจ้งว่า ส.ส.ต้องไม่แสดงกิริยาหรือใช้วาจาอันไม่สุภาพ มีลักษณะเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท เสียดสีหรือใส่ร้ายป้ายสีบุคคลใด
ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงนำความส่งคำร้องไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อมอบให้คณะกรรมการจริยธรรมสภาผู้แทนราษฎร ทำการไต่สวน สอบสวน และลงโทษตามข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฯ 2563 ประกอบมาตรฐานจริยธรรม ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ม.219 ต่อไป”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก ทนายวันชัย สอนศิริ ของนายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์หัวข้อ “ดวงชะตาธนาธรปี 64”
โดยระบุว่า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นพ่อค้านักธุรกิจ เข้ามาเล่นการเมืองเหมือนกับพ่อค้านักธุรกิจบางคนบางตระกูลในอดีต อยากจะบอกว่า พ่อค้านักธุรกิจแต่ละคนที่ลงมาเล่นการเมืองแล้วดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่มีใครที่จบชีวิตบนเส้นทางทางการเมืองสวยสักคน จะมองย้อนถอยไปในอดีตก่อนนายทักษิณก็หลายคน จบแบบ สะบักสะบอม บางคนถึงกับบอกลาเวทีทางการเมืองไปเลย ดูอย่างนายทักษิณ-นางสาวยิ่งลักษณ์ ยิ่งชัดเจน การเมืองกับการค้ามาอยู่ในตัวคนเดียวกันยิ่งไปกันใหญ่ ถึงขนาดไม่มีแผ่นดินอยู่
มันอาถรรพ์หรือมันถูกสาป... คงไม่น่าจะใช่ แต่เส้นทางของนักการเมืองกับพ่อค้ามันสวนทางกัน เป้าหมายของพ่อค้านักธุรกิจคือเงินและผลกำไร แต่เป้าหมายของนักการเมืองคือเกียรติยศ ชื่อเสียง ประเทศชาติและประชาชน ถ้าเป็นทั้งนักการเมืองและเป็นทั้งพ่อค้าแล้วไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ในที่สุดก็จะจบแบบศพไม่สวย จะมีพ่อค้าคนไหนในชีวิตที่ประกอบธุรกิจมาเป็นสีขาวตลอด ไม่จุดใดจุดหนึ่งก็ต้องมีเทาบ้าง เมื่อมาเป็นรัฐบาลก็ยังพอรักษาสถานะอยู่ได้บ้าง แต่เมื่อใดเป็นฝ่ายค้าน เมื่อนั้นแหละแผลเหวอะหวะ จะเอาชีวิตและครอบครัวรอดหรือเปล่า...
ธนาธรและครอบครัว ก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งเข้ามาอยู่ในวังวนนี้ กำลังทำการเมืองแนวใหม่ ต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงใหญ่ เล่นของใหญ่ ถ้าครอบครัว บริษัท บริวาร สะอาดหมดจดก็คงไม่เป็นอะไร แต่ใช่หรือเปล่าล่ะ... ก็อย่างที่ว่าถ้าเป็นฝ่ายรัฐบาลเหมือนที่นายทักษิณเคยเป็นก็คงพอรักษาสถานะไม่ให้มีเรื่องไว้ได้ แต่ถ้าเป็นฝ่ายค้าน ซัดคนโน้นทีคนนี้ทียิ่งไปกันใหญ่ จะเอาชีวิตและครอบครัวรอดหรือเปล่า...
ปี 64 ปีวัวดุ จึงเป็นปีทองแห่งคดีของตระกูลเขาที่จะถาโถมเข้ามามากมายก็เพราะการเมืองและการค้าที่มันมาพัวพันกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่า พ่อค้านักธุรกิจ ไม่มีใครเขาเข้ามาทำการเมืองโดยตรง มีแต่อยู่เบื้องหลังกันทั้งนั้น ใครที่คิดว่าใหญ่ว่าแน่ แล้วเข้ามาเล่นการเมืองเอง มักโดนการเมืองเล่นให้เห็นเป็นประจักษ์แล้วหลายคน ธนาธรและครอบครัวก็จะเป็นอีกคนหรือตระกูลหนึ่งที่จะเดินตามกงล้อประวัติศาสตร์การเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นปีวัวหรือปีไหน ดวงชะตาเขาก็เข้าเกณฑ์เช่นนั้น
แน่นอน, ใครทำอะไรเอาไว้ ก็ย่อมได้รับผลอันนั้น “ดี-ชั่ว” ขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเอง คนอื่น ความคิด ความเชื่อ อะไรอื่น แค่ส่วนประกอบเท่านั้น แม้จะโทษได้ ก็คงไม่เต็มปากเต็มคำ หรือ โยนผิดได้ทั้งหมด... ยกเว้นคนบางประเภท ที่ไม่เคยยอมรับผิด!!!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพูดถึงกรรม หรือการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ดังโพสต์ที่หยิบยกมา นั่นก็ล้วนแต่การกระทำของผู้ใด ไม่มีใครบังคับขืนใจ ไม่มีเผด็จการที่ไหนกลั่นแกล้งรังแก ตามที่อยากกล่าวอ้างทั้งสิ้น และสำหรับกฎหมาย ผิดก็ว่าไปตามผิดอยู่แล้ว
ถึงกระนั้น เชื่อว่า หลายคนไม่กลัวที่จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะคิดว่า ตัวเองมีทนายความชั้นยอดแก้ต่าง ตัวเองมีเอกสิทธิ์คุ้มครอง สำหรับ ส.ส. หรือมีอำนาจเงิน ที่อาจช่วยทำดำให้เป็นเทา เป็นขาวได้ ความคิดเช่นนี้เอง ที่ต่อให้เป็นผู้เรียกร้องทางการเมือง อันวิเศษสุดแค่ไหน แต่ในเมื่อจิตใจจมปลักอยู่กับความเห็นแก่ตัวเช่นนี้ อย่างดีก็แค่การสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองเป็นนักต่อสู้ นักประชาธิปไตย ฯลฯ สิ่งที่เรียกร้องก็ยากที่จะประสบผลสำเร็จได้ เพราะบาปกรรมเหล่านี้มันจะเริ่มไล่ล่าตั้งแต่วินาทีที่ลงมือทำ
เหนืออื่นใด ลบหลู่อะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น วัฒนธรรม ประเพณีของไทย ความคิดเก่าแก่โบราณของคนรุ่นเก่า หรือแม้แต่เห็นศรัทธาต่อสถาบันหลัก เป็นเรื่องโง่งมงาย แต่โปรดท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจ ในสัจธรรมข้อที่ว่า “เวรกรรมมีจริง” ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ อันนี้สำคัญ!!!