การเมืองท้ายปี สะท้อนความอ่อนแอทั้งสองฝ่าย “อานนท์” ฝัน ปีหน้าพาผู้ลี้ภัยกลับไทย ทำเอา ติ่ง “ทักษิณ-ปู” ฝากความหวัง “ตู่-จตุพร” ยุติบทบาท นปช. เผยเจ็บช้ำกับการถูกหลอก “ไพศาล” ป้อง “อาทิตย์” ไม่ใช่ล้มเจ้า ติงสาวกจะทำ “ลุงตู่” พัง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (28 ธ.ค. 63) นายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน และแกนนำคณะราษฎร 2563 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า
“ปีหน้าจะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง ตั้งเป้าไว้ เราจะพาเพื่อนผู้ลี้ภัยทางการเมืองกลับบ้าน มาฉลองปีใหม่ 2565 ด้วยกันที่ราชดำเนิน”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังนายอานนท์โพสต์ข้อความดังกล่าว ได้มีแฟนเพจเข้ามาแสดงความเห็นสนับสนุนจำนวนมาก บางรายระบุว่า “ฝากพานายกฯปู กับ นายกฯทักษิณ กลับมาด้วยนะคะ คุณคือความหวัง” (ไทยโพสต์)
ขณะเดียวกัน นายจตุพร พรหมพันธุ์ หรือ “ตู่” ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ peace talk ถึงเหตุผลเสนอยุบ นปช.ว่า
ถ้าองค์กรยังอยู่ ยิ่งจะเป็นปัญหาการเมือง ไม่เป็นประโยชน์ต่อการเคลื่อนไหวอันใด ดังนั้น จึงไม่ควรแบกความหวังลมๆแล้งๆ ไว้อีกต่อไป
ขบวนการต่อสู้ของประชาชนแต่ละยุคสมัย ล้วนยุติบทบาทลงหลังจากเสร็จสิ้นการต่อสู้ แกนนำการต่อสู้จะมีบทบาทเพียงในสมรภูมิเดียว ไม่ปรากฏไปต่อสู้ในสมรภูมิอื่นอีกเลย เช่น นายเสกสรร ประเสริฐกุล และ เสาวนีย์ ลิมมานนท์ หลังจากยุค 14 ตุลา 2516 แล้ว ไม่ปรากฏตัวในเหตุการณ์อื่นอีก พฤษภาทมิฬ การต่อสู้จบลงภายหลังเหตุการณ์สิ้นสุด คงเหลือแต่การตั้งมูลนิธิฯ และคณะกรรมการญาติวีรชน มาเรียกร้องการแก้ปัญหาในสังคม
ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา 3 องค์กรที่มีบทบาทการต่อสู้ก็ยุติลง เช่น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ กปปส. แต่ นปช. ยังไม่ประกาศยุติบทบาทชัดเจน ซึ่งความจริงแล้ว ควรยุติลงหลังเหตุการณ์ปี 2553 เพราะความตื่นตัวของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยอยู่ในช่วงที่ต่ำสุด
“ระหว่างนั้น นปช.ยังต้องอยู่เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับคนตาย หลังเลือกตั้งปี 54 ได้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้ว ควรต้องยุติบทบาท แต่ต้องทำภารกิจปกป้องประชาธิปไตย อีกอย่างความเชื่อการต่อสู้ถูกแปรเปลี่ยนไปให้นักการเมืองเข้ามาจัดการคนเสื้อแดงแทน เป็นการแบ่งแยกปกครองทำลายมากมาย
จนมาถึงจุดการอ้างว่า รัฐบาลอยู่ได้ด้วยฝ่ายที่ปราบปรามคนเสื้อแดง ปี 2553 กระทั่งนำไปสู่รักแท้ในคืนหลอกลวงกรณีพ.ร.บ.สุดซอย รวมทั้งการวางแผนให้ผมถูกตัดสิทธิ์ในวันที่ 18 พ.ค. 2555 และในวันที่ 19 พ.ค.ก็นัดชุมนุมครบรอบ 2 ปี เพื่อต้องการให้กระทำการบางอย่าง ซึ่งเป็นการหลอกลวงชนิดรุนแรงที่สุด” นายจตุรพร กล่าว
นายจตุพร กล่าวว่า สาเหตุที่เล่าเรื่องนี้ ต้องการบอกว่า คนเสื้อแดงไม่ได้อยู่ในช่วงแข็งแรงเหมือนปี 2553 ในปี 2557 ตนถอยมาแล้วจากการเจ็บปวดกับ พ.ร.บ.สุดซอย ซึ่งจะพาให้ขบวนการประชาธิปไตยเดินเข้าสู่ Killing Zone แล้วแพ้ราบคาบ พร้อมกับยัดการกล่าวหาที่รุนแรงให้ จากนั้นตนถูกตามให้มาต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง ก็มาเพราะเห็นว่า ประชาธิปไตยกำลังสูญเสีย ที่ผ่านมา มีหลายช่วงเวลาที่ต้องยุติบทบาท รวมทั้งขณะนี้แกนนำส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องหาหมด จึงสมควรต้องยุติบทบาทองค์กร นปช.อย่างยิ่ง
“การจะมีองค์กรนี้ต้องตอบคำถามว่า อยู่เพื่ออะไร หลายคนตั้งคำถาม พร้อมข้อกล่าวหา ทั้งที่ผมอธิบายเสมอว่า ทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพ ใครต้องการทำอะไรก็เชิญ ดังนั้น แกนนำในปี 53 จึงอยู่ในมุมเดียวกันหมด จึงไม่ควรแบกความหวังลมๆแล้งๆ”...
นายจตุพร กล่าวอีกว่า เมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่ง จึงถึงเวลาแล้วต้องยุติบทบาท แล้วกลับไปใช้ตัวตนของแต่ละบุคคลที่มีศักยภาพกัน เมื่อยุติบทบาทกันแล้ว ตนก็จะเดินสายพูดคุย ซึ่งเชื่อว่า ทุกคนคงเห็นไม่แตกต่างกัน เมื่อเดินมาจุดนี้ ถ้าไม่ยอมรับความจริง ยิ่งสร้างความเสียหายได้ เชื่อว่า โดยส่วนใหญ่ยังเลือกวิถีประชาธิปไตย การกระทำในอนาคตนั้นจะอยู่ในองค์กรใดก็ตาม จะสามารถกระทำได้ ไม่ว่าการเปิดพื้นที่แก้ปัญหาชาติบ้านเมือง ทั้งเรื่องเผด็จการทหาร เศรษฐกิจ ซึ่งแต่ละฝ่ายจะได้แยกกันไปทำหน้าที่ตามบทบาทกันได้
ที่สำคัญคือ การยุบ นปช.ไม่ได้หมายความว่า เราจะไปอยู่กับเผด็จการ เพราะนี่คือความเลวร้ายในการตั้งข้อกล่าวหา เป็นความชั่ว เป็นความอัปรีย์ที่สุด ซึ่งผมรู้ขบวนการนี้เกิดมาได้อย่างไร และผมได้นัดทีมทนายความเพื่อดำเนินคดีกันจริงๆ ทั้งแพ่งและอาญากับคนเก่งทั้งหลายที่ต่อว่าคนอื่นสาดเสียเทเสีย โดยเฉพาะการว่าเป็นเผด็จการ การกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้น พวกคนกล่าวหา จึงมีหน้าที่ต้องอธิบายเป็นเผด็จการอย่างไร ซึ่งจะเป็นทางรอดทางเดียวเท่านั้น และจะแจ้งให้ทราบทุกคนไม่ว่าเป็นร้อย หรือพันคนก็ตาม เพราะขบวนการใส่ร้ายนี้มีทั้งในประเทศและนอกประเทศ ซึ่งเป็นความเลวร้ายในสังคมปีศาจ เป็นเกมสกปรก และคนอย่างตนฆ่าได้แต่หยามไม่ได้
ส่วนการทำความเข้าใจในหมู่มิตรนั้น ในการต่อสู้กับเผด็จการทหาร ไม่จำเป็นต้องใช้ความเป็น นปช. ต้องหลอมรวมความสามัคคีทุกฝ่ายในการต่อสู้ ดังนั้น เชื่อว่า ไม่มีเหตุผลในการยื้อต่อไป และปล่อยให้เป็นตำนานการต่อสู้ที่มีคนตายเป็นประวัติศาสตร์ อีกทั้งอธิบายถึงความอยุติธรรมมากมายแล้ว ไม่มีใครเกินการต่อสู้ของคนเสื้อแดง เมื่อมีอิสระต่อกันแล้ว จึงควรมาตั้งต้นใหม่ของแต่ละคน เพื่อพิสูจน์หนทาง และพวกกล่าวหาต้องพิสูจน์ให้ได้ด้วยว่า ตนไปร่วมกับเผด็จการอย่างไร อีกอย่างตนไม่หวั่นไหวในการฟ้อง ถึงจะเป็นร้อยคนหรือพันคนก็ตาม แต่จะมาทำลายเกียรติภูมินักประชาธิปไตยของตนไม่ได้
ที่น่าสนใจ ไม่แพ้กัน นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ “ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ไม่ใช่พวกล้มเจ้าอย่างแน่นอน!!!”
โดยระบุว่า “ตอนนี้พวกติ่งลุง รุมกันด่า ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ว่าเป็นพวกล้มเจ้า
ผมรู้จัก ดร.อาทิตย์ มานานนักหนาแล้ว ยืนยันได้ว่า ดร.อาทิตย์ เป็นพสกนิกรที่มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์เป็นล้นพ้น!! ไม่ใช่พวกล้มเจ้าโดยเด็ดขาด****
การที่ติ่งลุง ปากไวด่าคนไม่เลือกแบบนี้ รังแต่จะทำให้ลุงเสียหาย!!!
ดร.อาทิตย์ ท่านติเตียนในทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
ถ้าเห็นว่าท่านทำผิดกฎหมายก็ดำเนินคดีสิครับ
ตอนนี้พวกติ่งลุงอาการหนักมาก!!!!
ทำกันจนลุงจะเป็นเทวดาอยู่แล้ว!!!!
ผมเองแค่ติงเรื่องการทุจริตเกี่ยวกับแรงงานเถื่อนและเรื่องบ่อน ที่เป็นเหตุให้ โควิดระบาดระเบิดเถิดเทิง
ไม่ได้ว่าอะไรลุงเลยสักคำเดียว!!!
ก็ยังมาด่าว่าผมเป็นพวกล้มเจ้า!!!
ด่าผมแบบนี้ ผมไม่ว่าอะไรหรอกครับ
แต่ระวังชาวบ้านจะเข้าใจว่า มีคนกำลังทำให้ลุงเป็นเทวดาแล้วจะยุ่ง!!!”
อย่างไรก็ตาม วันนี้ เฟซบุ๊ก Arthit Ourairat ของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ก็ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“ถ้ารัฐบาลบริหารแบบมีวิสัยทัศน์ คาดการณ์เตรียมการป้องกันควบคุมล่วงหน้าอย่างดี ไม่ “วัวหายล้อมคอก” และซื่อสัตย์สุจริต มีธรรมาภิบาล ไม่กินสินบาทคาดสินบน สถานการณ์โควิดคงไม่รุนแรงอย่างนี้
และอย่าเข้าใจผิด เราไม่ได้รังเกียจแรงงานต่างชาติ เท่าไรก็ให้เข้ามาได้ แต่ต้องคัดกรองควบคุมอย่างดี ไม่เรียกเงินสินบนนำเข้า และให้เขาเข้ามาทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่อยู่ในสลัมแพร่เชื้อโรค”
แน่นอน, มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ เริ่มจากคำมั่นสัญญาของแกนนำม็อบราษฎร 63 ที่ตั้งเป้าจะพาเพื่อนผู้ลี้ภัยในต่างประเทศทั้งหลายกลับบ้าน หรือกลับประเทศไทย จนทำเอา “ติ่ง” ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ฝากคำความหวังเอาไว้อย่างสูง
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า “เงื่อนไข” ที่จะพากลับบ้านได้ คืออะไรบ้าง ที่แน่นอนที่สุดก็คือ ชัยชนะในการต่อสู้ทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขากนั่นเอง ซึ่งถ้าพูดเรื่องนี้ หลายคนแทบจะฟันธงว่า “ฝันไปเถอะ”
ประเด็นต่อมา คือ การยุติบทบาทของ นปช. หรือ คนเสื้อแดง ที่ “ตู่-จตุพร” ในฐานะประธาน นปช. ประกาศเอาไว้ โดยมีเหตุผล ที่ฟังแล้วเห็นทั้งบริบทของสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และเบื้องหลังอันชอกช้ำของแกนนำผู้นี้ ที่ดูเหมือนถูกหลอกใช้ เป็นเครื่องมือทางการเมือง มากกว่า นำพามวลชนต่อสู้อย่างอิสระ เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยเฉพาะที่พูดถึง การเสนอกฎหมาย “นิรโทษกรรมสุดซอย” อย่างตอกย้ำ
เรื่องนี้เชื่อว่า คนไทยต่างก็รู้ดี ว่า ม็อบ นปช. มีเจ้าของ และพรรคการเมืองบางพรรค ที่ นปช.สนับสนุนก็มีเจ้าของ ซึ่งประจักษ์ชัดอยู่แล้ว จากการเคลื่อนไหวทุกครั้งที่ผ่านมา เพียงแต่ข้ออ้าง “ประชาธิปไตย” มันดูเหมือนส่งเสริมซึ่งกันและกันเท่านั้น
รวมทั้งที่น่าคิดก็คือ การยุติบทบาทของ “ตู่-จตุพร” โดยชิงเอา นปช.ไปด้วย ส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากการต่อสู้ในศึกเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงใหม่ ที่ “จตุพร” ถือหางคนละข้างกับ พรรคเพื่อไทย และนายทักษิณ ชินวัตร จนมีวิวาทะขัดแย้งกันหลายครั้ง ถึงขั้น “ตู่-จตุพร” ออกมาแฉความไม่ชอบมาพากลของ “เจ๊” บางคนที่มีอิทธิพลในพรรคเพื่อไทยอีกด้วย เพราะถ้าสังเกตให้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ เหมือนเตรียมที่จะชิ่งหนีพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว
สุดท้ายเมื่อเลือกตั้งจบ ตู่-จตุพร ก็ประกาศจบไปด้วย
ส่วนเรื่อง สาวก “ลุงตู่” ก็อย่างที่ “ลุงไพศาล” ติงเตือนเอาไว้ ยิ่งสร้างภาพ “ลุงตู่” เป็นเทวดา ใครแตะต้องอะไรก็ไม่ได้ สุดท้ายจะไปเข้าทางปืนกลุ่มต่อต้าน
เพราะอย่าลืม เวลานี้ก็ใช่ว่า “ลุงตู่” จะปลอดภัย จากพิษโควิด-19 ประเด็นเจ้าหน้ารัฐบางกลุ่มแอบทุจริตคิดมิชอบในขบวนแรงงานต่างด้าว จนการระบาดโควิดรอบใหม่ ทำให้เรื่องแดงขึ้นมา ไม่นับวิกฤตเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาปากท้องประชาชน ที่ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ฯลฯ
การยอมให้มีการตรวจสอบคนของรัฐบาลอย่างเข้มข้น และทำให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินคดีเอาผิดทุกอย่างให้ดีที่สุด คือ เกราะป้องกันอย่างดีของ “ลุงตู่” มิใช่ปล่อยให้ “ติ่ง” ออกมาล่าแม่มดคนเห็นต่าง ที่ก็ไม่ต่างจากฝ่ายตรงข้ามแม้แต่น้อย
เหนืออื่นใด ต้องยอมรับว่า ที่ “ลุงตู่” ไม่ต้องปวดหัวกับความวุ่นวายทางการเมือง และรับมือกับปัญหาการเมืองได้ มิใช่มีอะไรที่เหนือกว่า หรือ ชนะในเกมได้แล้วแต่อย่างใด เพียงแต่โชคช่วยเท่านั้นเอง เพราะคู่ต่อสู้สะดุดขาตัวเอง และโรคระบาดทำให้ม็อบไม่กล้าที่จะฝ่าฝืนชุมนุม ไม่เช่นนั้น จะซวนเซแค่ไหน ก็ลองคิดดู อย่าทำเป็นเก่งไป เพราะปีหน้ายังมีอยู่ ไม่เชื่อคอยดู!