“ไทยรักภักดี” บุกดีอีเอส จี้เป็นเจ้าภาพเสนอสภาปฏิรูปโซเชียลมีเดียภายใน 30 วัน ไม่สนกลุ่มราษฎรเตรียมแจ้งความกลับผิด ม.116 หลังเปิดแคมเปญชวนแจ้งความคนทำผิด ม.112 เชื่อตัวเองหัวใจบริสุทธิ์ จงรักภักดีจริง อัดกลับปฏิรูปสถาบันฯ แค่คำพูดสวยหรู แต่พฤติกรรมตรงกันข้าม
วันนี้ (17 ธ.ค.) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้ากลุ่มไทยภักดี พร้อมคณะเข้ายื่นหนังสือต่อ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ผ่านนายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดดีอีเอส เรียกร้องให้ รมว.ดิจิทัล เป็นเจ้าภาพในการเสนอเรื่องปฏิรูปโซเชียลมีเดียต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและหาทางออกในการแก้ไขปัญหา แล้วออกเป็น พ.ร.บ.ปฏิรูปโซเชียลมีเดีย หลังพบว่ามีการใช้โซเชียลมีเดียในการสร้างกระแสข่าวปลอมในหมู่ประชาชน รวมถึงนำไปสู่การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงประเทศ หากยิ่งปล่อยทั้งไว้ยิ่งเป็นอันตราย
นพ.วรงค์กล่าวว่า จากที่ได้ฟังคำชี้แจงของรองปลัดดีอีเอส เข้าใจว่ากฎหมายที่กระทรวงใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการต่อผู้ที่ใช้โชเชียลมีเดียโจมตีสถาบันเบื้องสูงยังมีข้อจำกัด ข้อเสนอของทางกลุ่มที่ให้ รมว.ดีอีเอสเป็นเจ้าภาพเสนอเรื่องต่อสภาผู้แทนฯ น่าจะเป็นทางออกที่ดีแก่ทุกฝ่าย โดยทางกลุ่มอยากเห็น รมว.ดีอีเอส มีความกระฉับกระเฉงเสนอเรื่องนี้ต่อสภาภายใน 1 เดือน แล้วให้ทุกฝ่ายเชิญผู้เชี่ยวชาญมาพูดคุยเพื่อหาทางออกเรื่องนี้ หากครบระยะเวลาดังกล่าวและทางกระทรวงยังไม่มีการดำเนินการใด ทางกลุ่มก็จะมีการยกระดับในการเรียกร้องต่อรัฐมนตรี
“เราเข้าใจว่ากฎหมายของเรายังมีข้อจำกัด เพราะถ้าไม่มีข้อกำจัดสังคมมันจะไม่ป่วนขนาดนี้ ตราบใดที่การรุกคืบต่อสถาบันฯ ยังทำได้ง่ายอยู่ แสดงว่ากฎหมายของเรายังไม่ครอบคลุม ฉะนั้น แนวทางที่เรามาเรียกร้องต่อกระทรวงคิดว่าไม่ยาก และแสดงความตื่นตัว ซึ่งก็จะเป็นผลงานของกระทรวงดีอีเอสด้วยว่าเร่งที่จะปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับโซเชียลมีเดีย”
นพ.วรงค์ยังกล่าวถึงกรณีมีการดำเนินคดีมาตรา 112 ต่อกลุ่มเยาวชนว่า โดยหลักการของกฎหมายคนทำผิดก็ต้องผิด สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้เข้าใจว่าประชาชนตื่นตัวในการที่จะไปแจ้งความดำเนินคดี ผู้ต้องหาอาจเป็นเด็กแต่คิดว่าศาลฯ ก็จะเป็นพิจารณาลงโทษตามความเหมาะสม
“ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีแกนนำหลายคนใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมต่อสถาบันฯ จึงเป็นความชอบธรรมที่เราจะเชิญชวนประชาชนให้เก็บหลักฐานแล้วไปดำเนินคดีตามมาตรา 112 แต่ละเป็นอายุขนาดไหน เป็นเรื่องของขั้นตอนกฎหมายมีข้อกำหนดอยู่แล้ว”
ส่วนที่หนึ่งในแกนนำกลุ่มราษฎรจะมีการไปแจ้งความกลับตนเองในข้อหายุยง ปลุกปั่นตามกฎหมายอาญา มาตรา 116 หลังจากที่ทางกลุ่มไทยภักดีออกแคมเปญเชิญชวนคนไปแจ้งความเอาผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อคนที่ใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมต่อสถาบันฯ นั้น ก็อยากให้กลุ่มนักศึกษาไปอ่านรัฐธรรมนูญ มาตรา 50 ที่กำหนดว่า บุคคลมีหน้าที่ในการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การปกครอง ฉะนั้น เมื่อสถาบันเบื้องสูงถูกจาบจ้วงก็เป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องปกป้องรักษา
“ถามว่าหัวใจเขามีความบริสุทธิ์ใจต่อสถาบันเบื้องสูงหรือเปล่า ถ้าหัวใจของคุณบริสุทธิ์ ผมเชื่อว่ามันไม่มีใครทำอะไรเขาได้ แต่ผมเชื่อว่าหัวใจของผมบริสุทธิ์ ผมจงรักภักดีจริง และอยากเห็นประเทศชาติเจริญก้าวหน้า สังคมสงบสุข ฉะนั้น ทุกการกระทำของผมมันมีเหตุผล ในมุมกลับกัน ถามจริงๆ หัวใจน้องๆ มีความจริงจังจริงใจหรือเปล่าที่บอกจะปฏิรูปสถาบันฯ หรือเป็นคำพูดสวยหรู แต่พฤติกรรมคำพูดเต็มไปด้วยคำหยาบคาย ฉะนั้น ถ้าน้องๆ จริงจังจริงใจ ก็อย่าไปกลัว”