สองบุคคลต้องห้ามยุ่งการเมือง “ทอน-แม้ว” ชะตากรรมเดียวกัน “ดร.อานนท์” ปลุก 20 ธ.ค.แบน ธนธ. หยุดส้ม หยุดคนเนรคุณแผ่นดิน “ดร.นิว” บี้ กกต.เกียร์ว่าง “พี่ศรี” จัดให้ครอบงำ พท. “จตุพร” ยังรัก “ทักษิณ” แต่ชังเจ๊!
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (16 ธ.ค. 63) เฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich ของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์ พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมข้อความปลุกเร้าอย่างน่าสนใจว่า
“ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี
ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด
การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อย
จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี
หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี
ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง
และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ
ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้
------------
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ ๖ ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๑๒
-------------
แบน ธนธ. ประเทศไทยต้องรอดจากคนเลว หยุดส้มหยุดคนเนรคุณแผ่นดิน 20 ธ.ค. ไม่เลือกคนเลว”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความระบุว่า
“คณะกรรมการการเลือกตั้งทำอะไรอยู่?
จะปล่อยให้พรรคการเมืองเถื่อนลอยนวล ใช้การเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นฐานในการสร้างความแตกแยกต่อไปอีกนานแค่ไหน?
ทุกวันนี้ประเทศชาติก็แตกแยกมากพอแล้ว หรือจะรอให้แผ่นดินลุกเป็นไฟก่อนหรืออย่างไร?
_______________________
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560
...มาตรา 111 ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปดําเนินกิจการเช่นเดียวกับพรรคการเมือง หรือผู้ใดดําเนินการไม่ว่าด้วยวิธีใดให้เข้าใจว่าเป็นพรรคการเมืองโดยมิได้จดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอน สิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนดห้าปี...”
ทั้งนี้ หลังจากมีผู้ร้องกับ กกต. เพื่อเอาผิดกับแกนนำคณะก้าวหน้า ตามมาตราดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 63 มีรายงานว่า ที่ประชุมสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติสั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนกรณีการเคลื่อนไหวของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, นายปิยบุตร แสงกนกกุล และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช ในนามคณะก้าวหน้า ที่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งนายกและสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัคร ว่าเข้าลักษณะเป็นพรรคการเมือง ซึ่งมีความผิดตามมาตรา 111 พ.ร.ป.พรรคการเมือง
ที่กำหนดว่า ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่มีลักษณะคล้ายกับพรรคการเมือง อาจต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งอาจต้องถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี หลังพิจารณาข้อมูลหลักฐานตามที่ด้านกิจการพรรคการเมืองของสำนักงาน กกต. รวบรวมเสนอแล้ว เห็นว่ามีน้ำหนักพอสมควรที่ กกต.จะดำเนินการต่อไปตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสอบสวนและไต่สวนได้
ทั้งนี้ หากการสืบสวน กกต.พบว่า การดำเนินการดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นความผิดตามมาตรา 111 พ.ร.ป.พรรคการเมือง ซึ่งไม่เพียงต้องมีการดำเนินคดีอาญาบุคคลทั้ง 3 แล้ว แต่ยังอาจมีผลไปถึงตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกและสมาชิก อบจ. ที่หากผลการสืบสวนพาดพิงไปว่า นำไปสู่การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ก็สามารถนำผลการสืบสวนไปดำเนินการตามกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นได้ เช่น กกต.สั่งระงับสิทธิสมัครของผู้สมัครไว้เป็นการชั่วคราว หรือใบส้ม รวมถึงการสั่งเลือกตั้งใหม่ หรือใบเหลืองได้ด้วย
ด้าน พรรคเพื่อไทย ก็กำลังจะมีชะตากรรมเดียวกัน เมื่อ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์คลิปผ่านเฟซบุ๊ก เชิญชวนชาวเชียงใหม่ ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ (นายก อบจ.เชียงใหม่) ในวันที่ 20 ธันวาคม ที่จะถึงนี้ และเลือก เบอร์ 1 หรือ นายพิชัย เลิศพงษ์อดิศร
โดยกล่าวว่า “สวัสดีครับ พี่น้องชาวเชียงใหม่ที่เคารพ เมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน ผมได้เขียนจดหมายถึงพี่น้องชาวเชียงใหม่ ซึ่งอาจจะไม่ได้รับข่าวสารอย่างทั่วถึง วันนี้เลยอัดคลิป เพื่อกล่าวกับพี่น้องชาวเชียงใหม่อีกครั้ง ผมมาอยู่ต่างประเทศนาน ก็คิดถึงเมืองไทย คิดถึงบ้านเกิดเชียงใหม่ เพราะว่าก็ไม่ได้ไปเยี่ยมนานแล้ว แต่ก็ยังเป็นห่วงคนเชียงใหม่ อยากให้คนเชียงใหม่ได้สิ่งดีๆ เหมือนตอนที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรีตอนสมัยพรรคไทยรักไทย
วันนี้ก็เลยมาย้ำอีกครั้งว่า ผมฝากเบอร์ 1 นายก อบจ. พิชัย เลิศพงษ์อดิศร (หรือ ก้อง) ผมก็เชียร์แก แกแวะมาหาผมตอนที่ตัดสินใจลง ผมก็ฟังแนวคิดของเขา แกก็มีแนวคิดที่ดี และแกก็ฟังแนวคิดของผม ว่าจะพัฒนาเชียงใหม่กันอย่างไรบ้าง ผมก็ดีใจว่าเขาได้เป็นตัวแทนพรรคเพื่อไทยได้ลงสมัคร นายก อบจ.เชียงใหม่
ผมในฐานะคนเชียงใหม่ เลยต้องเชียร์คนที่จะทำเพื่อบ้านเมืองเรา เชียร์คนที่จะตั้งใจทุ่มเท เพื่อพี่น้องชาวเชียงใหม่ และเชียร์คนที่รับฟังแนวคิดผมบ้าง เพราะว่าผมอยากจะเสนอความคิด เพื่อแก้ปัญหาบ้านเรา อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ผมเป็นห่วง วันนี้ผมก็เลยฝากเชียร์กันหน่อย ในวันที่ 20 ธันวาคมนี้ ช่วยกันเลือก เอาให้ชนะขาดนะครับ ถ้าไม่เช่นนั้นเขาจะพูดได้ว่า คนเชียงใหม่ไม่รักผมแล้ว
อย่างไรผมก็มั่นใจว่า คนเชียงใหม่ยังไม่ลืมผม เพราะผมไม่เคยลืมคนเชียงใหม่ ไม่เคยลืมบ้านเกิดไม่เคยลืมประเทศไทยเลย ตลอดเวลา เวลาไปไหนเห็นความเจริญ ก็นึกถึงบ้านเราตลอดเวลาว่า ถ้ามีโอกาสจะแนะนำ รัฐบาลที่เป็นฝ่ายเรา คุยกันรู้เรื่อง เพื่อแก้ปัญหาประเทศเราอย่างไรบ้าง ทุกครั้งที่ฝั่งไทยรักไทยเก่า ซึ่งก็คือเพื่อไทย เป็นรัฐบาล ก็ปรากฏว่าเศรษฐกิจดี ไม่เสียหายเลย ไม่เหมือนทุกวันนี้ ก็เลยอยากจะฝากพี่น้องทุกท่าน คิดถึงเชียงใหม่ครับ ขอบคุณครับ” https://thethaiger.com/th/news/390707/
อย่างไรก็ตาม ที่สำนักงาน กกต. ศูนย์ราชการฯ วันนี้ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางมายื่นคำร้องพร้อมพยานหลักฐานต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรณีที่ปรากฏเป็นการทั่วไปว่า ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เขียนจดหมายถึงคนเชียงใหม่ผ่านโซเชียลมีเดียให้สนับสนุนผู้สมัครนายก อบจ. ท่านหนึ่งซึ่งสังกัดพรรคเพื่อไทย จนเกิดข้อขัดแย้งขึ้นกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ต่อมามีสมาชิกพรรคเพื่อไทยหลายคนลาออกจากพรรค และหลังจากนั้น ดร.ทักษิณ ก็ทวิตเตอร์รัวๆออกมาตัดพ้อมากมายเกี่ยวกับการวางรากฐานให้พรรคเพื่อไทย
กรณีดังกล่าว อาจเป็นการเข้าข่ายฝ่าฝืน พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 มาตรา 29 ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิใช่สมาชิกกระทําการใดอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่า โดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม นอกจากนั้น ใน ม.28 ยังบัญญัติอีกว่า ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทําการใดอันทําให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ สมาชิกกระทําการอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้ พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
การเขียนจดหมายถึงคนเชียงใหม่ให้สนับสนุนผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ และการทวิตเตอร์ว่า ตนเองเป็นผู้ปูรากฐานให้กับพรรคไทยรักไทยจนมาถึงพรรคเพื่อไทย และการออกมาให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารพรรคเพื่อไทยหลายกรรมหลายวาระ ล้วนเป็นหลักฐานยืนยันถึงการมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นของพรรคเพื่อไทย และ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งอาจมีผลต้องห้ามตามกฎหมายพรรคการเมืองดังกล่าว และอาจเป็นเหตุให้พรรคเพื่อไทยถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคและลงโทษได้ตาม ม.92(3) และ ม.108 แห่ง พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560
ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงนำความพร้อมพยานหลักฐานมาร้องเรียนต่อ กกต. เพื่อให้ดำเนินการไต่สวน สอบสวน เพื่อวินิจฉัยการกระทำของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยว่าเข้าข่ายการฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าวหรือไม่ หากวินิจฉัยว่าเป็นการฝ่าฝืนก็เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งลงโทษหรือยุบพรรคเพื่อไทยตามครรลองของกฎหมายต่อไป.
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ peace talk เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
“หลายคนถามว่า ฟังคลิปอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร แล้วรู้สึกอย่างไร แต่ตนย้ำเสมอยังรักและเคารพการตัดสินใจของทักษิณ ซึ่งเป็นความแตกต่างในระบอบประชาธิปไตย และตนยืนยันเสมอว่า ความสวยงามของประชาธิปไตยคือการเคารพในความแตกต่าง แล้วความแตกต่างนั้นย่อมจบลงท้ายที่ประชาชนตัดสิน...
ที่สำคัญ นายจตุพร กล่าวตอนหนึ่งถึงการไปช่วยฝ่ายตรงข้ามพรรคเพื่อไทยหาเสียงเลือกนายก อบจ.เชียงใหม่ จนขัดแย้งกับ “ทักษิณ” ไปด้วยว่า
“เมื่อจะหงายไพ่ ก็หงายไปถึงตั้งจุดการให้ข่าวกับสื่อ แล้วไงละ ก็มาจากเจ๊ๆๆ คนเดียวเท่านั้น ผมจึงไม่แคร์คนอัปรีย์เช่นนี้ ไม่สนใจคนประเภทแยกแยะคดีบอสไม่ได้ จึงไม่ไหวหวั่น ผมจึงทำให้สิ่งที่หัวใจยึดมั่นมาตลอดชีวิต ผลลัพธ์ออกมาอย่างไรก็ตามเป็นเรื่องเล็ก แต่อย่างน้อยเราได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ได้บอกกล่าวสังคมและคนไทยแล้ว เราต้องไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล และไม่ให้เหยียบบันได อบจ. เพราะถ้าให้คนชั่วไปมีอำนาจก็จะไปใช้อำนาจชั่วๆ ในการปกครอง ดังนั้น การไม่ให้ใช้อำนาจชั่วๆได้ คือการหยุดคนชั่วไม่ให้มีอำนาจ”
นายจตุพร ย้ำว่า ตนไม่ได้อยู่ด้วยพื้นฐานความกลัว แต่อยู่ด้วยความถูกต้อง เพราะความกลัวทำให้เสื่อม แต่ความถูกต้องทำให้รักษาชาติบ้านเมืองเอาไว้ได้”
ด้าน กกต. นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย กกต. ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา ยื่นคำร้องขอให้ตรวจสอบพรรคเพื่อไทยกรณีนายทักษิณ ชินวัตร โพสต์เชียร์ให้เลือกผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ ว่า กกต. ต้องดำเนินการตามขั้นตอน มีตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนว่า มีมูลหรือไม่ และตั้งคณะกรรมการสืบสวน หากมีผลอย่างไรทางสำนักงานก็จะมีการแจ้งให้ทราบ
ถามว่า การกระทำของนายทักษิณ เข้าข่ายครอบงำการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายธวัชชัย กล่าวว่า ยังตีความไม่ได้ เพราะยังมีองค์ประกอบอีกหลายอย่างที่ต้องพิจารณาและคณะกรรมการสืบสวนก็ต้องดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงก่อน
เมื่อถามย้ำว่า บุคคลทั่วไปสามารถโพสต์เชิญชวนให้เลือกผู้สมัครได้หรือไม่ นายธวัชชัย กล่าวว่า รักใครชอบใครก็น่าจะเก็บเอาไว้ ไม่ควรไปบอกให้เลือกคนนั้นคนนี้ เพราะไม่ได้เป็นผู้ช่วยหาเสียงที่มีหน้าที่ชวนให้คนเลือกผู้สมัคร ถ้าเป็นประชาชนธรรมดาก็ไม่ควร เพราะไม่ได้มีหน้าที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการหาเสียง
“กรณีคุณทักษิณ ต้องขอดูในแง่ของกฎหมายก่อน เพราะหลายๆ เรื่องเราไปดูแล้วก็นึกว่าผิดกฎหมาย แต่พอลงลึกๆ แล้วมันไม่ใช่ หลายเรื่องที่เสนอมา กกต.ทุกคนบอกว่าผิดแล้ว แต่เมื่อ กกต.ตรวจสอบก็ไม่เข้าองค์ประกอบ เมื่อไม่เข้าองค์ประกอบแล้วไปตัดสินว่าผิดก็ไม่ได้”
แน่นอน, สิ่งที่เกิดขึ้น ถือว่า ล่อแหลมต่อการทำผิดกฎหมาย ทั้งสองกรณี อยู่ที่การตีความข้อกฎหมายของ กกต. และท้ายที่สุดคือ ศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะวินิจิฉัยออกมาอย่างไร
แต่ประเด็นที่น่าเป็นห่วงก็คือ การตีความข้อกฎหมายที่ขัดแย้งกัน ระหว่างองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจหน้าที่ กับนักกฎหมายของพรรคการเมือง ที่มักอาศัยช่องว่างของกฎหมาย กระทำการเพื่อให้ได้เปรียบคู่แข่งทางการเมือง ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม
ตัวอย่าง ที่เห็นได้ชัดก็คือ กรณีคณะก้าวหน้า ทำตัวคล้ายพรรคการเมือง นักกฎหมายของพรรค อาจคิดว่า อะไรก็ตามที่ไม่เป็นข้อห้ามอย่างชัดเจน ถือว่า ไม่ผิดกฎหมาย อย่าง กรณีเงินกู้ 191.2 ล้านบาท ที่นายธนาธร ให้พรรคตัวเองกู้ ก็คิดว่ากฎหมายไม่ห้าม และทำในสิ่งท้าทายกฎหมาย เพื่อหวังผลดิสเครดิตขบวนการยุติธรรมไปในตัวอีกต่างหาก เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ภาษาชาวบ้านเรียกพวก “หัวหมอ” หรือ พวกศรีธนญชัย
กรณีพรรคเพื่อไทย ถือว่าใช้ช่องว่างเช่นกัน โดย “ทักษิณ” พยายามอย่างมากที่จะช่วยผู้สมัครพรรคเพื่อไทย โดยที่ไม่ให้เข้าข่าย “ครอบงำ” พรรคเพื่อไทย ทั้งที่คนไทยทั้งประเทศ หรือคนทั่วโลกก็ว่าได้ รู้ว่า พรรคเพื่อไทย กับ “ทักษิณ” มีตื้นลึกหนาบางกันแค่ไหน เพียงแต่ถ้าว่ากันตามหลักฐานการทำความผิด ถือว่า เข้าข่ายหรือไม่ เท่านั้นเอง
เหนือใด คือ ความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย หาก กกต.มีมติว่า เป็นความผิด และส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เหมือนหลายคดีที่ผ่านมา เพราะสิ่งแรกที่บรรดานักการเมืองเหล่านี้คิดเอาไว้แล้ว ที่จะใช้เป็นข้อต่อสู้ โดยไม่ยอมรับผิด ก็คือ ถูกกลั่นแกล้งรังแกจากผู้มีอำนาจ เพราะไม่ต้องการให้พรรคเพื่อไทย และกลุ่มการเมืองบางกลุ่มมีบทบาททางการเมืองแข่งกับรัฐบาล
หรือที่สุด ก็จะวกเข้าหาเกมต่อสู้กับประเด็นที่ม็อบเยาวชนคณะราษฎร 2563 กำลังต่อสู้อยู่ นั่นเอง ไม่เชื่อคอยดู!?