xs
xsm
sm
md
lg

สธ.เผยข่าวดีคนไทย วัคซีนวิจัยป้องกันโควิด-19 คาดคนไทยได้ใช้กลางปีหน้าหลัง “แอสตราเซนเนกา” ที่รัฐบาลไทยตกลงร่วมมือพัฒนาประสบผลสำเร็จ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ แถลงข่าวความคืบหน้าการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ว่าตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอของบประมาณและได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี จำนวน 3,700 ล้านบาท เพื่อการจัดหาวัคซีนด้วยวิธีการจองล่วงหน้ากับบริษัท แอสตราเซนเนกา บริษัทผู้ผลิตชีวภัณฑ์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน นับเป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ผลทดลองในเบื้องต้นพบว่าวัคซีนวิจัย AZD1222 ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และบริษัท แอสตราเซนเนกา ร่วมกันพัฒนา มีประสิทธิผลเกินข้อกำหนดของ WHO โดยการให้วัคซีนแบบแรก คือ ฉีดครึ่งโดสแล้วฉีดตามด้วยอีก 1 โดส หลังจากฉีดครั้งแรก 1 เดือน พบว่า ประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด-19 สูงถึง 90% และการให้วัคซีนแบบที่สอง คือ การฉีดวัคซีน 1 โดส แล้วฉีดตามอีก 1 โดส หลังจากฉีดครั้งแรก 1 เดือน พบว่ามีประสิทธิผลในการป้องกันโรคโควิด-19 ที่ 62% จากการให้วัคซีนทั้ง 2 แบบค่าเฉลี่ยของประสิทธิผลโดยรวมอยู่ที่ 70.4%

ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดมาตรฐานการรับรองวัคซีนป้องกันโควิด-19 ต้องมีประสิทธิผลไม่ต่ำกว่า 50% นอกจากนี้ วัคซีนยังมีความปลอดภัยสูง พบว่า อาสาสมัครที่ได้รับวัคซีน AZD1222 ไม่มีผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการรุนแรงหรือต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล และมีความปลอดภัยในกลุ่มผู้สูงอายุ ในขั้นตอนถัดไปบริษัท แอสตราเซนเนกา จะนำเสนอผลการทดลองเบื้องต้นที่สมบูรณ์ (full interim) เพื่อการพิจารณาของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องต่อไป
 
“วัคซีนวิจัย AZD1222 มีความพร้อมในเรื่องการเตรียมกำลังการผลิตที่มีฐานการผลิตทั่วโลก และมุ่งหวังที่จะเพิ่มกำลังการผลิตให้เพียงพอแก่ประเทศต่างๆ จัดเป็นความหวังของชาวโลก นอกจากนี้ วัคซีนสามารถจัดเก็บได้ที่อุณหภูมิ 2 ถึง 8 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นมาตรฐานการจัดเก็บและขนส่งวัคซีนในระบบปกติของประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ทำให้วัคซีนชนิดนี้เหมาะสมที่จะนำมาใช้ได้ในสถานการณ์จริง ทั้งนี้ คนไทยมีโอกาสเข้าถึงวัคซีนชนิดนี้มากกว่าประเทศอื่น คาดว่าจะได้รับวัคซีนกลางปีหน้า เนื่องจากมีความร่วมมือผลิตวัคซีนในประเทศไทย และเป็นโอกาสในการสร้างขีดความสามารถของประเทศ เพื่อความมั่นคงในระยะยาว สำหรับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการรับวัคซีนโควิด-19 อยู่ระหว่างการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2563” นพ.โอภาสกล่าว

ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย โดยกระทรวงสาธารณสุข สยามไบโอไซเอนซ์ เอสซีจี กับ แอสตราเซนเนกา และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ในการผลิตวัคซีน AZD1222 จำนวนมาก โดยไม่หวังผลกำไร เพื่อให้ประเทศไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียมและทันเวลา นับเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือที่รัฐบาลประเทศต่างๆ องค์กรด้านสาธารณสุขชั้นนำของโลก อาทิ องค์การอนามัยโลก กลุ่มพันธมิตรความร่วมมือด้านนวัตกรรมเพื่อรับมือโรคระบาด (CEPI) องค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน (GAVI) และผู้ผลิตวัคซีนทั่วโลก ผนึกกำลังเพื่อช่วยกันกระจายวัคซีนให้ทั่วถึงและเท่าเทียมโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

ด้าน นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวเสริมว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุข เสนอให้จัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับประชาชนไทยโดยการจองล่วงหน้ากับบริษัท แอสตราเซนเนกา เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2563 ที่ผ่านมา โดยมอบให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติจัดทำสัญญาการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้า และมอบให้กรมควบคุมโรคเป็นผู้ดำเนินการจัดทำสัญญาซื้อวัคซีนจากการจองดังกล่าวโดยให้มีผลผูกพันเมื่อได้รับงบประมาณแล้ว โดยครั้งนี้จะเป็นการจัดหาวัคซีนจำนวน 26 ล้านโดส ครอบคลุมประชากรกลุ่มเป้าหมาย 13 ล้านคน ภายในปี พ.ศ. 2564 ซึ่งการเข้าถึงวัคซีนได้อย่างรวดเร็วนี้จะทำให้ลดอัตราการป่วย การเสียชีวิต และค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลผู้ป่วยจากโรคโควิด-19 และฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว ลดการสูญเสียเชิงเศรษฐกิจได้เป็นมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท
 
ทั้งนี้ ในวันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2563 เวลา 14.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีการลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้าและสัญญาซื้อวัคซีนจากการจอง ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล  


กำลังโหลดความคิดเห็น