xs
xsm
sm
md
lg

ทูต-ทุนมะกันพบนายกฯ วันม็อบสามนิ้วบุก สนง.ทรัพย์สินฯ!?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา


หากมีความเชื่อและพิจารณาจากข้อมูลที่รับมา และได้เห็นความเคลื่อนไหวที่เชื่อมโยงกันว่าสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศตะวันตก ให้การสนับสนุนกลุ่ม “ม็อบสามนิ้ว” ที่มีเจตนาหลักเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย ก็ต้องจับตามองว่า กำหนดการเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของคณะทุนและคณะทูตสหรัฐฯ ในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ ถือว่าช่างเป็นเรื่อง “บังเอิญอย่างร้ายกาจ” ทีเดียว

เพราะเท่าที่รับรู้กันไปก่อนหน้านี้ ก็คือ ในวันดังกล่าวเป็นวันที่ “ม็อบสามนิ้ว” นัดหมายชุมนุมที่บริเวณสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ นั่นเอง

ก่อนหน้านี้ จากการเปิดเผยของ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรายการรัฐบาลเล่าเรื่อง โดยนารีสโมสร ซึ่งเผยแพร่ทางเพจเฟซบุ๊กไทยคู่ฟ้า เปิดเผยว่า ในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ สภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน จะนำคณะนักธุรกิจสหรัฐฯในไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมร่วมประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ กับคณะนักธุรกิจที่อยู่ในสหรัฐฯ

ซึ่งบรรดากลุ่มทุนสหรัฐฯที่ว่านี้ ล้วนแต่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น APPLE, 3M, FORD, GE, CITY BANK,  FedEX, Bayer เป็นต้น ซึ่งจะครอบคลุมภาคธุรกิจพลังงาน สื่อสาร โทรคมนาคม ยา ยานยนต์ ขนส่ง และ ภาคการเงินการธนาคาร

โดยมีรายงานที่ระบุว่า จะเป็นการหารือทางการสนับสนุนการลงทุนในไทย ช่วงหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย อาจหารือไปถึงความเปลี่ยนแปลงผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ ด้วย

แน่นอนว่า หากพิจารณาเผินๆ ก็เหมือนกับการมาเข้าพบของคณะนักธุรกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ เพื่อแสวงหาลู่ทางการลงทุน รวมไปถึงหารือกันมาตรการส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งไทยกำลังเปิดกว้าง และต้องการให้มีการลงทุน หรือการย้ายฐานการลงทุนจากประเทศอื่นมาที่ประเทศไทย เป็นต้น

อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันแบบเชื่อมโยงระหว่างการลงทุนทางเศรษฐกิจ และการเมืองที่เชื่อมโยงถึงกันแบบแยกไม่ออก ก็ต้องบอกว่างานนี้ “ไม่ธรรมดา” หากพิจารณาจาก “แบ็กกราวนด์” มันก็ช่วยไม่ได้ ที่จะต้องมองภาพแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นความเคลื่อนไหวที่เป็นลักษณะของการสนับสนุน มีการเข้าพบกับอดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯก่อนหน้านี้ ในยุคของ นายเกล็น เดวีส์ ที่มีภาพหลักฐานฟ้องชัดเจน รวมไปถึงรายงานข่าวที่ว่า มีหน่วยงานรัฐและกลุ่มทุนของสหรัฐฯ และตะวันตก ให้การสนับสนุนกลุ่มเอ็นจีโอ เช่น กลุ่มไอลอว์ ที่เคลื่อนไหวยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญของไทย กลุ่มทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ล้วนเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศไทย โดยเฉพาะกับกลุ่มแกนนำของ “ม็อบสามนิ้ว” เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” เป็นต้น

หรือก่อนหน้านี้ ก็มีกลุ่มเอกอัครราชทูต 5 ประเทศ ที่นำโดยสหรัฐฯ เช่น อังกฤษ เยอรมนี ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ใช้สถานทูตสหรัฐฯออกแถลงการณ์แนะนำไทยให้แก้ไขในเรื่องอุปสรรคของการลงทุน 10 ข้อ เพื่อต้องการให้ไทยเป็นประเทศที่ก้าวไปสู่ประเทศที่น่าลงทุนติดอันดับต้นของโลก แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดและแนวทาง จึงไม่ต่างจากการ “ล้ำเส้น” ในทางมารยาททางการทูต 

 อีกทั้งยังน่าสังเกตอีกว่า การออกแถลงดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนการชุมนุมใหญ่ของพวก “ม็อบสามนิ้ว” ที่หน้ารัฐสภา เพื่อกดดันให้รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของ “กลุ่มไอลอว์” ที่รับรู้กันดีว่า รับเงินสนับสนุนจากสหรัฐฯ และกลุ่มชาติตะวันตก ซึ่งเนื้อหาสำคัญของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว ก็ต้องการให้มีการแก้ไขทุกมาตรา ไม่เว้นแม้แต่หมวดที่เกี่ยวกับ “พระมหากษัตริย์” และพระราชอำนาจ

ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากกลุ่ม 5 ประเทศ ก็ล้วนแล้วเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของสหรัฐฯ ทั้งสิ้น แต่หากพูดกันแบบบ้านๆ ในความหมายก็คือ ล้วนเป็น “ลูกน้อง” ของสหรัฐฯ ที่ผนึกกำลังกัน “ต่อต้านอิทธิพลของจีน” ทั้งในระดับการค้า การลงทุน และการทหารในภูมิภาค

สำหรับไทยนั้น ที่ผ่านมา สหรัฐฯพยายามบีบคั้นให้ไทย “เลือกข้างสหรัฐฯ” เพื่อช่วยคานอิทธิพลของจีนในภูมิภาค ซึ่งที่ผ่านมาหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงจาก “ระบอบทักษิณ” เรื่อยมาสู่ยุค คสช. และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผลประโยชน์ของสหรัฐฯเริ่มมีความกระทบกระเทือน ซึ่งที่ผ่านมา ประเทศตะวันตกมักจะมีเงื่อนไขและข้ออ้าง “สิทธิมนุษยชน” มาบีบบังคับกับ “บางประเทศ” กับไทยก็ยกเอาเรื่องการรัฐประหารมากีดกันการค้า

แต่ที่น่าแปลกก็คือ ทีกับเวียดนาม ซึ่งน่าจะมีปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนไม่น้อยกว่าไทย แต่กลับไม่มีปัญหาในเรื่องนี้กับสหรัฐฯมากนัก ตรงกันข้ามกลับมีการกระชับความร่วมมืออย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการจับมือกันต่อต้านจีนในย่านทะเลจีนใต้ เป็นต้น

หากสังเกตก่อนหน้านี้ไม่นาน สหรัฐฯ ก็ได้ตัดสิทธิพิเศษทางการค้า (จีเอสพี) กับสินค้าของไทยหลายรายการ โดยเฉพาะการบีบบังคับให้ไทยต้องเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมู และเครื่องใน ซึ่งไทยไม่ยอม เนื่องจากเห็นว่า หมูสหรัฐฯ มี “สารเร่งเนื้อแดง” ที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค

ดังนั้น หากพิจารณากันแบบเชื่อมโยงและ “แบ็กกราวนด์” แบบมีที่มาที่ไป ก็พอมองได้ว่า การนำคณะของกลุ่มทุนสหรัฐฯ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีเอกอัครราชทูตสหรัฐฯเข้าร่วมหารือครั้งนี้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แม้ว่าหน้าฉากจะเป็นเรื่องการลงทุน แต่มันก็ส่อนัยทางการเมืองที่บังเอิญว่าตรงกับ วันที่ 25 พฤศจิกายน ที่ “ม็อบสามนิ้ว” นัดชุมนุมที่หน้าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์พอดี และเมื่อมองภาพความใกล้ชิดกับแกนนำม็อบ ที่ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า กำลังขอ “ลี้ภัย” ในสหรัฐฯ และทำให้เกิดความเหิมเกริมหนักข้อ ทุกอย่างมันจึงเข้าเค้า

ขณะเดียวกัน ก็ต้องจับตาดูอีกว่า การชุมนุมในวันดังกล่าวจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นหรือไม่ เพราะเมื่อพิจารณาจากเส้นทางข้างหน้ามันเหมือนชนกำแพง หลังจากที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่สภาแล้ว เพียงแต่ว่าแนวโน้มที่จะแก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์ เป็นไปได้ยากแล้ว ทำให้น่าจับตากันว่าหลังจากบุกไปม็อบหน้าสำนักงานทรัพย์สินฯ เพื่อสื่อนัยโดยตรงต่อสถาบันฯ แล้วจะยังไงต่อ หรือว่าจะมีการ “จงใจ” ให้เกิดเหตุร้าย ให้เกิดการ “พาดพิงบางอย่าง” หรือไม่ น่าจับตายิ่งนัก !!


กำลังโหลดความคิดเห็น