“กรณ์” ชื่นชมพระบารมี “พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของคนไทยทุกคนอย่างแท้จริง พระเมตตาเด่นชัดมาก” “The METTAD” แฉ “แผนชั่วกะเทยเฒ่า” สมคบคิดนักข่าว “ดิสเครดิตสถาบัน” “เพนกวิน” ยันสู้ไม่ถอย “สมานฉันท์” ส่อจบเห่?
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (2 พ.ย. 63) เฟซบุ๊ก Korn Chatikavanij ของ นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของคนไทยทุกคนอย่างแท้จริง พระเมตตาเด่นชัดมาก เมื่อคืนนี้ขณะที่ในหลวงทรงเสด็จฯทักทายประชาชน ผู้สื่อข่าวต่างประเทศได้ถามว่า พระองค์ท่านทรงคิดอย่างไรกับประชาชนที่กำลังประท้วงและต้องการการปฏิรูป (“protestors who've been on the streets who want reform?”)
พระองค์ท่านทรงตอบและย้ำหลายครั้งว่า “We love them all the same”
“เรารักทุกคนเหมือนกัน”
และเมื่อผู้สื่อข่าวต่างประเทศถามต่อว่า “is there room for compromise?” (ท่านคิดว่า สามารถประนีประนอมกันได้หรือไม่?) พระองค์ท่านทรงตอบว่า “Thailand is a land of compromise”
“ประเทศไทย เป็นแผ่นดินที่มีแต่ความประนีประนอม”
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ.”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์หัวข้อ “แผนชั่วกะเทยเฒ่า”
โดยระบุว่า “เห็นกะเทยชิบูย่าโพสต์วันนี้แล้ว ยิ่งชัดว่า โจนาทาน เฮด CNN ที่เสร่อบุกไปขอสัมภาษณ์ในหลวงเมื่อคืน คือ การวางแผนรวมหัวกัน เพื่อต้องการดิสเครดิตสถาบัน
ปวินโจมตีว่า ในหลวงไม่มีทักษะการสื่อสาร เพราะพูดคำเดียวซ้ำๆ ว่า We love them all the same
โจมตี องค์สิริวัณณวลี ว่าออกแอกเซนท์ผิด จาก peaceful เป็น peachful
และบอกว่า สถาบันโกหก ว่าประเทศไทยเป็นประเทศประนีประนอม เพราะสถาบันไม่เคยประนีประนอมคนเห็นต่างทางการเมือง
อันที่จริง แผนของสื่อ ตปท. จงใจจะดึงสถาบันให้เข้ามายุ่งเกี่ยวการเมือง พยายามตั้งคำถามให้ในหลวงพูดเรื่องการเมืองให้ได้นั่นแหละ
แต่ในหลวงตอบกลับว่า ไม่มีความเห็น เรารักพวกเขาทุกคนเหมือนกัน
สื่อยังจี้ถามให้ได้อีกว่า มีช่องทางจะประนีประนอมมั้ย
ในหลวงก็ตอบกลางๆ ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศประนีประนอม
จะเห็นว่า ในหลวงพูดน้อย เพราะไม่สามารถแสดงความเห็นอะไรได้ จึงไม่ได้เข้าทาง CNN อย่างที่พวกมันวางแผนมา
ปวิน จึงต้องเบี่ยงมาดิสเครดิต เรื่องสถาบันโกหก เพราะไม่เคยประนีประนอมต่อผู้เห็นต่างทางการเมือง
อันนี้ปวินโกหก และปวินต้องการให้รอยัลลิสต์ตกหลุม
เราจะต้องตอบปวินว่า เรื่องผู้เห็นต่างทางการเมือง เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องดูแล ไม่เกี่ยวกับสถาบัน
ถ้าปวินไม่เมายาคุมจนหลงลืม ก็น่าจะรู้ว่า ขนาดผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์เมื่อหลายสิบปีก่อน ยังได้รับอภัยโทษ ในรัฐบาลพลเอก เปรม เพื่อให้กลับมาร่วมกันพัฒนาประเทศ
เป็นประเทศอื่นเขาฆ่ากันเกลี้ยงแล้ว ไม่ปล่อยไว้หรอก
ประเทศไทย ยังประนีประนอมไม่พออีกเหรอ เลิกทาสก็ไม่เสียเลือดเนื้อ ปฏิวัติ 2475 ก็ตกลงกันได้ ศาสนาไหนก็อยู่ได้
จ่านิวโดนตัดสิทธิ์ มาขอเข้ารับปริญญา ยังทรงพระเมตตาอนุญาตให้
ในหลวงทรงตอบถูกต้องและชัดเจนแล้ว
ประเทศไทยเราประนีประนอมอยู่แล้ว แต่เป็นเรื่องทางการเมือง รัฐบาลต้องไปหาทางออกเอง
อย่าให้กะเทยเฒ่ามาหลอกเราได้”
ด้าน เฟซบุ๊ก เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ Parit Chiwarakของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” แกนนำกลุ่มราษฎร 63 โพสต์ข้อความระบุว่า
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมขอยืนหยัดต่อสู้เพื่อเป้าหมายที่ได้ปักธงกันไว้ และเราจะดำเนินตามยุทธศาสตร์ข้าวสามคำที่ทนายอานนท์ได้ประกาศไว้ คือ ขับไล่ประยุทธ์ ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ และทีมงานพวกเราก็ยังคงยืนหยัดในอุดมการณ์เหล่านี้เช่นกัน
เมื่อมวลชนไม่ถอย เราก็จะไม่ถอยกันสักคน”
สำหรับการตั้งคณะกรรมการปรองดองสมานฉันท์ ตามที่ได้ข้อสรุปจากการประชุมสภาสมัยวิสามัญที่ผ่านมา ซึ่งประธานรัฐสภา นายชวน หลีกภัย กำลังเดินหน้าเรื่องนี้อย่างเต็มที่
จนเห็นรูปร่างหน้าตาขึ้นมาแล้ว ว่ามี 2 รูปแบบ คือ รูปแบบที่ 1 มีผู้แทนจากฝ่ายต่างๆ รวม 7 ฝ่าย เช่น ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ตัวแทนของฝ่ายรัฐบาล ตัวแทนของวุฒิสภา และตัวแทนขององค์กรอื่น แต่ก็มีจุดอ่อน คือ หากฝ่ายใดปฏิเสธไม่ร่วมองค์ประชุมก็จะไม่ครบ หรือการหารือพูดคุยกันไม่นานก็อาจจะล่มได้ หรืออาจจะเสร็จเร็วได้ รวมทั้งถ้ามองผิวเผิน จะมีแค่ฝ่ายรัฐบาลกับวุฒิสภา ซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ ถือว่าน่ากังวล
ส่วนรูปแบบที่ 2 มีคนกลางที่มาจากการเสนอของฝ่ายต่างๆ หรือประธานรัฐสภาเป็นผู้สรรหา หรือแต่งตั้งคณะกรรมการ ซึ่งก็ยังไม่แน่ใจว่า กรรมการที่เราไปทาบทามจะรับหรือไม่ เพราะด้วยเป้าหมายของงานเขาก็ต้องดูปัญหาที่เขาจะเข้ามาดูนั้นมันคือเรื่องอะไร อย่างไรก็ตาม อาจเอา 2 รูปแบบนี้ไปประสานกับฝ่ายต่างๆ หากตามรูปแบบที่ 1 เป็นไปไม่ได้ก็จะมาในรูปแบบที่ 2 หรือดึงรูปแบบที่ 1 กับ 2 มาประสานกัน
ในส่วนของตัวบุคคล อาจต้องไปถามตัวแทนของฝ่ายต่างๆ ว่า จะเข้าร่วมหรือไม่ หรือคนนอกจะมาร่วมด้วยหรือไม่ เพราะต้องไปคัดคนให้ได้จำนวนไม่มากแต่มีประสิทธิภาพ เข้าใจปัญหา ทั้งนี้ ยังต้องนำไปพูดคุยกับผู้นำฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลเป็นการภายในอีกครั้ง
แต่ปรากฏว่า ที่ประชุมฝ่ายค้าน ยังคงยืนยันหัวเด็ดตีนขาด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะต้องลาออกก่อนเท่านั้น จึงจะนำไปสู่การแก้ปัญหาทุกอย่างได้
โดย นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ท่าทีของพรรคร่วมฝ่ายค้านต่อการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ของประธานรัฐสภานั้น เราคิดว่า 1. พรรคร่วมฝ่ายค้านมองร่วมกันว่า ปัญหาของประเทศไทยเวลานี้เกิดจากตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นหลักและต้องการแค่สืบทอดอำนาจ หากตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์ เราจึงยืนยันในจุดยืนเดิม คือ
1. พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออกจากตำแหน่งก่อน
2. เรามีบทเรียนว่า คณะกรรมการในสถานการณ์เช่นนี้ที่ผ่านมาเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่คณะกรรมการไม่มีอำนาจในตัวเองที่จะดำเนินการในเรื่องใดๆ ได้ เช่น การนิรโทษกรรมหรือการเยียวยา เป็นต้น จึงมีแต่เพียงข้อเสนอไปยังรัฐบาลเท่านั้น เราจึงอยากเห็นว่า คณะกรรมการที่จะตั้งขึ้นจะมีอำนาจหรือไม่อย่างไร
3. ก่อนการตั้งคณะกรรมการจะต้องมีการตีโจทย์ของประเทศ พรรคร่วมฝ่ายค้านอยากสอบถามและตรวจสอบก่อนว่า การตั้งคณะกรรมการชุดนี้อยู่บนโจทย์อะไร
และ 4. สถานการณ์ของประเทศ ถ้าอยากจะคลี่คลายปัญหา สิ่งที่ดีที่สุด คือ ยุติการคุกคามประชาชนและเยาวชน เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลาย ตราบใดที่การคุกคามยังมีอยู่ โอกาสที่สถานการณ์จะได้รับการคลี่คลายไม่จะเป็นไปได้...
แน่นอน, สิ่งที่ยังคงเป็นปัญหาก็คือ ข้อเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก และให้มีการ “ปฏิรูปสถาบัน” นั่นเอง ซึ่งทั้งสองประเด็น เป็นเรื่องที่มีความเห็นต่างอยู่ในสังคมเป็น “สองขั้ว” ขั้วหนึ่ง เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ อีกขั้วหนึ่งไม่เห็นด้วย และสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในตำแหน่งเพื่อปกป้องสถาบันให้ถึงที่สุด รวมทั้งยังเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ มาตามรัฐธรรมนูญ 2560 จึงไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะให้ลาออก เพราะไม่ได้ทุจริตคิดมิชอบอะไร
ขณะที่ “การปฏิรูปสถาบัน” ยิ่งเห็นได้ชัดว่า ขัดต่อความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ของประเทศที่เติบโตและผูกพันมาอย่างยาวนานกับสถาบันพระมหากษัตริย์ จนแทบพูดได้ว่า เป็นสถาบันหลักของประเทศไทยก็ว่าได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่มีความขัดแย้งกันค่อนข้างสูง ท่ามกลางแรงยุยง ปลุกปั่นจากฝ่ายเสรีประชาธิปไตย ทั้งในและต่างประเทศ และที่สำคัญ ยังเป็นเรื่องหลัก หรือ เป้าหมายสูงสุด ที่ม็อบกลุ่มราษฎร 63 ชูธง ต่อสู้ “ให้มันจบที่รุ่นเรา”
เหนืออื่นใด ยังเห็นได้ชัดอีกอย่างของปัญหาทั้งหมดในภาพรวมว่า ต่างฝ่ายต่างดื้อตาใส ดึงดันที่จะต่อสู้เอาชนะคะคาน เพื่อให้ได้ผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง โดยไม่เห็นหัวประชาชนส่วนใหญ่ว่าจะเดือดร้อนอย่างไร จากการต่อสู้ของพวกเขา แม้แต่น้อย และไม่ยี่หระแม้แต่นิดเดียวว่า ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร เศรษฐกิจจะลงเหวหรือไม่ เหล่านี้ต่างหากที่ทำให้เรื่องจบไม่ลง ถอยไม่ได้
สุดท้ายก็คงได้แต่ภาวนา ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองคนไทย และประเทศไทยให้รอดพ้นวิกฤตการเมืองครั้งนี้ไปได้ ไม่ว่าจะด้วย “ปาฏิหาริย์” อะไรก็ตาม