“ลุงไพศาล” ฮึ่มใส่ กระทรวง “บัวแก้ว” ปล่อย 3 หัวโจก “ล้มเจ้า” ลอยนวล “สุวินัย” วิเคราะห์คนรุ่นใหม่ “แบนราบ แห้งแล้ง มิติเดียว” “จตุพร” จวก “ทุนผูกขาด” ศัตรูตัวจริง “โสรัจจะ” ชี้ ขัดแย้งการเมืองแรงกว่าทุกครั้ง สู่ “อภิมหากลียุค!”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (1 พ.ย. 63) เฟซบุ๊ก Paisal Puchmongkol ของ นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“ตามกฎของสหประชาชาติ ผู้ลี้ภัยที่ไปพำนักอาศัยในประเทศใดย่อมถูกห้ามไม่ให้เคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งอาจเป็นปรปักษ์ ต่อประเทศอื่น
ข้อที่น่าแปลกใจมากที่สุด ก็คือ หัวโจกรับจ๊อบล้มเจ้า 3 คน ที่ลี้ภัยอยู่ใน 3 ประเทศ คือ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และ สหรัฐอเมริกา ได้เคลื่อนไหวทางการเมืองที่เป็นปรปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างเปิดเผยกว้างขวางต่อเนื่องกระทบต่อความมั่นคงของชาติอย่างร้ายแรง เป็นหน้าที่ของรัฐบาลประเทศนั้น ที่จะต้องให้หยุดยั้งหรือไล่ออกนอกประเทศ!!
คำถามขณะนี้คือ กระทรวงการต่างประเทศได้ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ ปกป้องสถาบันในเรื่องนี้ครบถ้วนตามหน้าที่แล้วหรือไม่? และประเทศที่ผู้ลี้ภัยไปสังกัดนั้น ได้จัดการให้ผู้ลี้ภัยปฏิบัติตามกฎของสหประชาชาติหรือไม่?
ถ้าฝ่าฝืน ทำไมจึงไม่ขับไล่ออกไป!! ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศอีกนั่นแหละ!!!
จากนั้นก็จะเป็นหน้าที่ของประชาชนชาวไทย กองทัพไทย และตำรวจไทย ว่า จะพิจารณาจัดการเรื่องนี้อย่างไร เพราะเป็นหน้าที่สำคัญเช่นเดียวกัน”
ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ (30 ต.ค. 63) เฟซบุ๊ก Suvinai Pornavalai ของ รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ได้โพสต์ ถึง “คนรุ่นใหม่” ที่กำลังเคลื่อนไหวร่วมกันในม็อบราษฎร อย่างน่าสนใจ หัวข้อ “#การถอดรื้อความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันกษัตริย์ในเชิงวาทกรรม พวกเขาทำสำเร็จแล้ว !!”
โดยระบุว่า “ด้วยการทุ่มเทบ่มเพาะปลูกฝังความคิด “ถอดรื้อความศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง” ในบ้านเมืองนี้ ให้แก่คนรุ่นใหม่มาอย่างยาวนาน...
ปรากฏการณ์การ “ชังชาติ” จึงเป็นแค่ผลของการถอดรื้อความศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเมืองนี้ทางความคิดได้สำเร็จของพวกเขาเท่านั้นเอง
แต่พร้อมๆ กับกระบวนการถอดรื้อความศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงในบ้านเมืองนี้ #ด้วยความคิดวัตถุนิยมแบบสุดโต่งและสุดขั้วนั้น
พวกเขาได้พลอยทำลาย “โลกที่น่าลุ่มหลงและน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง” ให้ล้มหายตายจากไปจากความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาเองด้วย
บัดนี้ #โลกในสายตาของพวกเขากลับกลายเป็นโลกที่แบนราบ แห้งแล้ง และมิติเดียวในเชิงอำนาจและเชิงความสัมพันธ์ต่อสรรพสิ่งรอบตัว
ตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ตัวและยังไม่สำนึกหรอกว่า #พวกเขาได้ทำลายด้านที่งดงามและลึกซึ้งที่สุดภายในตัวเขาลงไปด้วย พร้อมๆ กับการถอดรื้อทำลายความศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงในบ้านเมืองนี้”
นอกจากนี้ ที่สถานีโทรทัศน์พีซทีวี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประเมินสถานการณ์ทางการเมืองในหัวข้อ “ปลายทางคืออะไร” ว่า
สถานการณ์ทางการเมืองนั้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่า รัฐบาลกำลังพยายามเสนอตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ขึ้นมา ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ช่วงที่ก่อน คสช.จะเข้ามา เช่น การสลายการชุมนุมปี 52 ก็มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด และปี 2553 ก็มีการตั้งขึ้นมาอีกหลายชุด และหลังจากการยึดอำนาจก็มีการตั้งคณะกรรมการตามรูปแบบต่างๆ หลายชุดหลายครั้ง แต่บทสรุปสุดท้าย คือ ไม่มีใครต้องการสร้างความสมานฉันท์อย่างแท้จริง ตลอดระยะเวลากว่า 15 ปีนี้ ไม่มีใครเชื่อ คำว่า สมานฉันท์ เป็นเพียงคำหลอกลวง ตลอดระยะเวลากว่า 7 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลชุดนี้มีโอกาสที่จะสร้างความสมานฉันท์ และความปรองดองขึ้นภายในชาติได้หลายครั้ง แต่ไม่เคยดำเนินการจริงๆ ปากบอกว่า ปรองดอง แต่การกระทำสวนทางกัน ดังนั้น คณะกรรมการชุดนี้เป็นคณะกรรมการที่ไม่มีประโยชน์มากที่สุด
นายจตุพร กล่าวว่า หากมีการแก้ไขปัญหากันจริงๆ นั้น ต้องเริ่มต้นที่นายกรัฐมนตรี ต้องเสียสละ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ดังนั้น หากนายกรัฐมนตรีกล้าเสียสละออกจากตำแหน่งอย่างที่ชายชาติทหารพึงกระทำ โดยเชื่อว่า หาก 2 ข้อนี้ ได้คลี่คลายก็จะช่วยลดอุณหภูมิการเมือง
แต่หากยังปล่อยให้เดินไปเช่นนี้ สุดท้ายก็จะจบลงแบบ 6 ตุลาคม 2519 88 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์ได้ชัดเจนว่า ประเทศไทยจะมีการปกครองแบบใด จะเป็นนักการเมือง หรือทหารเข้ามาบริหารประเทศ มีเพียงกลุ่มเดียวที่ได้รับผลประโยชน์ ไม่ว่าใครจะขึ้นมามีอำนาจ นั่นคือ กลุ่มทุนผูกขาดทั้งหลาย ซึ่งตนได้เรียกพวกนี้ว่า เป็นเผด็จการทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะมีการปกครองโดยทหารหรือนักการเมือง คนที่ได้ประโยชน์ก็จะมีเพียงกลุ่มเดียว คือ กลุ่มนายทุนผูกขาด ที่มีอยู่เพียงไม่กี่รายในประเทศไทย ที่เอารัดเอาเปรียบสูบเลือดคนไทยมายาวนาน เชื่อว่า ถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องคิดว่า ภัยคุกคามจริงๆ แล้วคืออะไร และหากคิดจะเปลี่ยนโครงสร้างเปลี่ยนประเทศอย่างแท้จริงนั้น ต้องทำลายโครงสร้างทุนใหญ่ ทั้งทุนพลังงาน ทุนผูกขาดเครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหลาย หรือแม้แต่ทุนข้ามชาติ สิ่งเหล่านี้เชื่อว่า เป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริง”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายโสรัจจะ นวลอยู่ โหรชื่อดัง ฉายา “นอสตราดามุส” เมืองไทย เปิดเผยถึงดวงชะตาบ้านเมือง และสถานการณ์การเมือง ส่งผลมาจากอิทธิพลของดวงดาว ว่า
ในสัปดาห์หน้า ดวงดาวเคราะห์ใหญ่ๆ ดาวมฤตยู ดาวเสาร์ ดาวพฤหัส ดาวพระอาทิตย์ ดาวอังคาร เล็งกันในมุมหักศอกทับดวงเมืองจะมีความชัดเจน จะทำให้เห็นถึงเหตุการณ์วิกฤตต่างๆ มีความชัดมากขึ้นว่าจะเกิดขึ้นจริงแทบจะทุกด้านรุมเร้า ร้อนแรงช่วงปลายปีนี้ และปี 2564 จะตกหนักอย่างที่สุดเรียกว่าไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ชาติไทย ลุกลามไปถึงปีหน้า
ทั้งปัญหาจากการเมือง ส่งผลมาจากอิทธิพลของดาวอังคาร หมายถึง สงคราม โรคระบาดใหม่ๆ เข้าแทรกดวงเมือง โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ น่ากลัวมากยิ่งกว่าปี 2540 วิกฤตต้มยำกุ้ง นำประเทศไทยเข้าสู่ไอเอ็มเอฟ อีกทั้งปัญหาจากต่างประเทศที่เคยเป็นมหามิตร ก็จะแปรพักตร์เปลี่ยนท่าทีไปไม่เหมือนเดิม อาจถึงขั้นกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้
“ปลายปีนี้ ถึงปีหน้าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ โรคอุบัติใหม่ ใครที่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทผ่อนหนักเป็นเบาได้ และสถานการณ์การเมือง เป็นตัวนำทำให้ทุกเรื่องหนักหนาสาหัสอย่างรวดเร็ว แก้ไม่ทัน แก้ไม่ได้ หรือแก้ไม่ถูกทาง เข้ายุคอภิมหากลียุค การเมือง เศรษฐกิจวิกฤตใหญ่กว่าปี 40 นับเป็นน้องๆ ไปเลย การแตกแยกทะเลาะกันอย่างไม่สิ้นสุด ไม่เคยมีมาก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงการเมืองครั้งใหญ่” นายโสรัจจะ กล่าว (สยามรัฐออนไลน์)
แน่นอน, สถานการณ์ทางการเมืองจนถึงเวลานี้ แม้ว่าการประชุมสมัยวิสามัญรัฐสภา เพื่อหาทางออกกรณีนักเรียน นักศึกษา ประชาชน ชุมนุมใหญ่ในนามม็อบเยาวชนปลดแอก กระทั่งมาเป็น “ราษฎร 63” นั้น ทำได้อย่างดี ก็แค่ตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ เพื่อหาทางออก
กระนั้น หลายฝ่ายก็ยังเชื่อว่า ไม่มีทางที่จะหาทางออกที่ยอมรับกันทุกฝ่ายได้ เนื่องจากมีบางปัจจัยที่เห็นไม่ตรงกัน และทำไม่ได้
เช่น ข้อเรียกร้องให้นายกฯลาออก เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันไม่ลาออก เพราะต้องอยู่ทำภารกิจให้สำเร็จ อีกทั้งเหตุผลของการให้ลาออก ก็ยังไม่สมเหตุสมผลมากนัก ทั้งยังมีพลังหนุนจากทั้งพรรคร่วมรัฐบาล และกลุ่มการเมืองนอกสภา รวมถึงประชาชน ขณะที่ฝ่ายค้าน เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ คือ ต้นตอปัญหา ถ้าลาออก และเปิดทางให้มีการแก้ปัญหาวิกฤตการเมืองจบลงได้ นี่คือ ปัจจัยที่เห็นไม่ตรงกัน
อีกปัจจัยคือ ทำไม่ได้ เรื่องนี้ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า คนที่บอกว่า “ทำได้” เอาเข้าจริงก็ไม่กล้าที่จะเปลืองตัว หรือ เสี่ยงออกมาเป็น “ผู้นำ” หรือ ถือธงนำต่อสู้ จึงได้แต่ “แอบ” อยู่หลังเด็กๆ ที่ออกมาประท้วง ซึ่งความจริง ก็พวกแอบอยู่เบื้องหลังนั่นเอง ที่ยุยงส่งเสริมปลุกปั่น รวมทั้งจัดตั้งให้เด็กและมวลชนออกมาประท้วง พร้อมข้อเสนอ 10 ข้อ “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์”
ถามว่า นักการเมือง ที่ต้องการปฏิรูปสถาบันฯ ถ้าตัวเองเป็น “นายกรัฐมนตรี” จะกล้า “ปฏิรูปสถาบัน” หรือไม่??? กล้าที่จะเห็นด้วยกับม็อบ ทำอย่างที่ม็อบทำกับ “สถาบันอยู่ในเวลานี้ อย่างซึ่งหน้าหรือไม่??? ถามใจตัวเองก่อน และอย่าโกหกตัวเอง ก่อนยืนยันหัวชนฝาให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับข้อเสนอของม็อบ เพราะว่านี่คือ ปมขัดแย้งหลัก ที่นักการเมืองมักปากว่าตาขยิบ ลิงหลอกเจ้า และศรีธนญชัย หรือ ชาวบ้านเรียก “ตอแหล” อย่างน่าละอายที่สุด แถมโหนกระแสหวังอำนาจเปลี่ยนมือแบบง่ายๆ อีกต่างหาก
ดังนั้น ต้องยอมรับความจริงเรื่องนี้ให้ได้ ก่อนที่จะหาทางออกของความขัดแย้ง มิเช่นนั้น ก็จะ “วน” อยู่กับปัญหาเดิม พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก ก็ยังไม่จบ เพราะข้อเรียกร้องที่ผูกเงื่อนตายเอาไว้ มันเลยธงการเมือง ไปสู่การพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน โดยเฉพาะพวก “ศาสดาล้มเจ้า” ทั้งหลาย แน่จริงอย่าหนี!
เฉพาะฉะนั้น เห็นด้วยว่า ไม่มีทางจบที่ “คณะกรรมการสนามฉันท์” หรือ แม้แต่รัฐบาลแห่งชาติ นายกรัฐมนตรีคนกลาง เพราะตราบใดที่ข้อเสนอ “ปฏิรูปสถาบัน” ยังอยู่ และต่อสู้ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ ตราบนั้น พล.อ.ประยุทธ์ หรือ ใครก็พูดจากับเด็กๆ ไม่รู้เรื่อง รับฟังให้ตาย ก็ได้แค่รับฟัง ไม่ใช่ไม่รับฟัง ไม่รู้ว่าทำไม คนที่เรียกร้องให้รับฟังเด็ก จึงเข้าใจอะไรยากนัก ขนาดตาสีตาสาเขายังรู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองว่าเกิดอะไรขึ้น
สุดท้าย ถ้าขืนยังเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่แน่คำทำนายของโหรชื่อดัง ก็อาจจะเหมือนกับตาเห็นเข้าสักวัน ไม่เชื่อคอยดู!!!