อดีตสมาชิก ทษช. เตรียมร้อง ป.ป.ช.เอาผิดมาตรา 157 ต่อ กกต. ปมศาลฎีกายกคำร้องคดี “สุรพล” เชื่อ กกต.ไต่สวนไม่ชอบ ดักอ้างไม่รู้กฎหมายไม่ได้
วันนี้ (1 พ.ย.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า เตรียมจะยื่นร้อง ป.ป.ช.ขอให้ตรวจสอบและดำเนินคดีต่อ กกต.ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในวันพรุ่งนี้โดยจะส่งหนังสือคำร้องไปทางไปรษณีย์ เนื่องจากตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้มีคำพิพากษาที่ 4209/2563 ที่ กกต.เป็นผู้ร้อง และมีนายสุรพล เกียรติไชยากร เป็นผู้คัดค้านศาลได้มีคำพิพากษาไว้ตอนหนึ่งในหน้า 34 ว่า
“...ข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนยังฟังไม่ได้ว่า ผู้คัดค้านถวายเงินจำนวน 2,000 บาท แก่พระครูถาวรวรคุณ เพื่อเป็นการสื่อสารให้ชาวบ้านเข้าใจว่า ผู้คัดค้านได้บริจาคเงินสมทบให้แก่กองผ้าป่าสามัคคีของหมู่บ้าน เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง ด้วยวิธีการให้เงินไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน อันจะเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (2) และตามคำร้อง และเมื่อฟังว่าผู้คัดค้านไม่ได้กระทำผิดตามคำร้องแล้ว ผู้คัดค้านจึงไม่จำต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ เขตเลือกตั้งที่ 8 ตามคำร้อง พิพากษาให้ยกคำร้อง”
อีกทั้งในคำพิพากษาหน้าที่ 29-30 ยังระบุไว้บางส่วนว่า “เห็นว่าผู้ร้องกล่าวอ้างในคำร้องขอให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านว่า ผู้คัดค้านกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (2) ที่บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น ... ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้ (2) ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือเพื่อประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน...”
รวมถึงในคำพิพากษาหน้า 30 ตอนท้าย ระบุไว้บางส่วนว่า “... และต้องได้ความว่า ผู้คัดค้านกระทำการดังกล่าวเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้ผู้คัดค้านด้วย...” และหน้า 31 ยังระบุไว้ว่า “... นอกจากนี้ ตามทางไต่สวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงทำให้ผู้คัดค้านหรือบุคคลใดเชื่อได้ว่า...” ตนจึงเห็นว่าการที่ศาลฎีกายกคำร้องดังกล่าว มาจาก กกต.ไต่สวนได้ความโดยไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 73 วรรคหนึ่ง (2) ทำให้มีประเด็นตามมาว่า การที่ กกต.ไต่สวนโดยไม่ได้ความตามที่กฎหมายบัญญัติ กกต.อาจมีพฤติการณ์จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจอำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1)
“กรณีนี้จึงยังไม่จบ เพราะเมื่อศาลฎีกาพิพากษายกคำร้องด้วยเหตุ กกต.ไต่สวนได้ความโดยไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามกฎหมาย กกต.จะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ จึงจำเป็นต้องร้อง ป.ป.ช. ให้รีบไต่สวน กกต.ว่าจะมีความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 157 ประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) กับ พ.ร.ป.กกต. 2561 มาตรา 25 และมาตรา 69 หรือไม่”