รองเลขาฯ กกต. ชี้แจง กฎหมายไม่ได้ห้ามพรรคส่งผู้สมัครเลือกตั้งท้องถิ่น แต่ห้ามคนที่มีตำแหน่งทางการเมือง-ขรก.การเมือง ใช้ตำแหน่งเป็นคุณเป็นโทษ เตรียมถกวางแนวทางชัดเจนจันทร์นี้
วันนี้ (29 ต.ค.) นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต. ชี้แจงถึงกรณีข้อสงสัยพรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมือง ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งท้องถิ่นได้หรือไม่ และมีโทษหรือไม่ว่า ตามกฎหมายไม่ได้ห้ามพรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมืองในการที่จะส่งสมัคร สามารถส่งได้ แต่มาตรา 34 พ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่น กำหนด ห้ามข้าราชการการเมือง หรือ ส.ส. ใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ กลั่นแกล้งผู้สมัครหรือกระทำการใดๆ อันเป็นคุณเป็นโทษแก่ผู้สมัคร ซึ่งพรรคการเมืองก็มีการสอบถามในประเด็นนี้มา ซึ่งในวันจันทร์ที่ 2 พ.ย.นี้ กกต.จะมีการพิจารณาเพื่อตอบและให้เป็นแนวปฏิบัติเป็นการทั่วไปกับทั้งผู้สมัคร ข้าราชการการเมือง ส.ส. รวมทั้ง ผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำจังหวัดซึ่งกฎหมายให้อำนาจเป็นผู้สั่งระงับยับยั้งกรณีเกิดการกระทำดังกล่าว อย่างไรก็ตามการหาเสียงของผู้สมัครต้องเป็นไปตามกฎหมาย และระเบียบ กกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่น
“มาตรา 34 ไม่เกี่ยวกับพรรคการเมือง แต่กำหนดถึงตัวบุคคลที่มีตำแหน่งต่างๆ รวมถึงถ้าทำผิดมาตรานี้กฎหมายก็ไมได้กำหนดโทษอาญาไว้ แต่จะไปมีผลทำให้อาจเป็นเหตุให้การเลือกตั้งไม่สุจริต เที่ยงธรรมได้ ซึ่งเรื่องความชัดเจนต่างๆ ในการประชุม กกต.วันจันทร์ที่ 2 พ.ย. สำนักงานก็จะเสนอให้กกต.พิจารณา ขอให้รอความชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง”
ด้าน พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. กล่าวถึงการร่วมงานบุญตามประเพณีของผู้ที่จะลงสมัคร อบจ.ในขณะนี้ ว่า ทั้งเรื่องคุณสมบัติของผู้จะลงสมัคร หรือวิธีการหาเสียงการเลือกตั้งท้องถิ่นไม่ได้แตกต่างจากการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. จึงขอให้ระมัดระวัง เนื่องจากช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาเดียวที่ไม่ให้มีการเอาจารีตประเพณีมาเป็นเครื่องมือใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง ส่วนที่ก่อนหน้านี้ ศาลฎีกายกคำร้องกรณี นายสุรพล เกียรติไชยากร อดีตผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ นำเงินใส่ซองทำบุญช่วงเลือกตั้ง จะทำให้ผู้สมัครเลือกตั้งท้องถิ่นมองว่าสามารถทำได้โดยไม่เป็นความผิดหรือไม่ ก็เห็นว่า หากมีการยื่นคำร้องเข้ามา ทาง กกต.ก็ต้องดำเนินการวินิจฉัย เนื่องจากต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง
อย่างไรก็ตาม ในวันจันทร์ที่ 2 พ.ย.ซึ่งจะมีการเปิดรับสมัครนายกและสมาชิก อบจ.ก็ยังมีความกังวลในเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากมีอัตราโทษที่ค่อนข้างสูง ผู้สมัครต้องรับทราบว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ อย่างกรณีถือครองหุ้นสื่อซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มีบรรทัดฐานออกมาแล้ว รวมทั้งเจ้าหน้าอื่นของรัฐก็ต้องไม่เป็นด้วยและที่น่ากลัวที่สุดคือคือผู้สมัครไม่รู้ตัวเองถูกไล่ออกหรือปลดออกจากหน่วยงานต่างๆ ซึ่งในเรื่องของคุณสมบัติ กกต.จะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด โดยคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติ ดังนั้น ผู้ที่จะลงสมัครจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง และต้องตรวจสอบคุณสมบัติตัวเองให้ดี หากตรวจสอบแล้วพบว่ามีผู้ที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามแล้วลงสมัครรับเลือกตั้ง กกต.ก็จะมีการดำเนินคดีอาญา ไม่สามารถละเว้นได้