“ดร.พิชาย” ประณามรัฐฯ ใช้ความรุนแรง ตัดสินใจผิดพลาดที่ฉีดน้ำผสมสารเคมีสลายการชุมนุม ทั้งที่ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน นักศึกษาและชุมนุมกันอย่างสงบ เชื่อในไม่ช้าการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลจะเกิดขึ้นทั่วประเทศ โยนประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยรู้เห็นเป็นใจหากยังคงอยู่ร่วมในรัฐบาล
วันนี้ (17 ต.ค. 63) เมื่อเวลา 01.18 น. รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต อดีตคณบดีพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กกรณีเอาน้ำผสมสารเคมีฉีดใส่ผู้ชุมนุม ว่า
ภาพของผู้คนจำนวนมหาศาลที่เข้าร่วมการชุมนุมในค่ำคืนวันที่ 15 ตุลาคม คงสร้างความหวาดหวั่นใจแก่รัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง
วันที่ 16 เพียงเริ่มชุมนุมเพียงไม่นาน รัฐบาลก็ดำเนินการใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมโดยฉีดน้ำผสมสารเคมีฉีดใส่ผู้ชุมนุมและจับกุมประชาชนไปหลายคน
สิ่งที่เกินความคาดหมายและไม่น่าเชื่อคือ รัฐบาลที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตยกลับเร่งรีบใช้ความรุนแรงในการสลายและจับกุมผู้ชุมนุม ทั้งที่ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนและนักศึกษาและชุมนุมกันอย่างสงบ ภาพเด็กผู้หญิงในชุดนักเรียนวิ่งหนีตำรวจปรากฏให้เห็นกันทั้งโลก
การใช้ความรุนแรงปราบปรามสลายการชุมนุมเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และเป็นการกระทำที่ควรถูกประณาม
และยิ่งรัฐบาลใช้ความรุนแรงมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลยิ่งขยายตัวมากขึ้น
คาดว่าในไม่ช้าการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลจะเกิดขึ้นทั่วประเทศ และทำให้ความชอบธรรมของรัฐบาลหมดสิ้นลง
ความจริงอย่างหนึ่งคือ การใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนเป็นเส้นทางของบุคคลที่กำลังกลายเป็นทรราช
สิ่งที่ยังสงสัยคือ พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยรู้เห็นเป็นใจกับการใช้ความรุนแรงในการปราบปรามนักเรียน นักศึกษา และประชาชนในครั้งนี้หรือไม่
คำตอบอาจดูได้จากการตัดสินใจทางการเมืองของทั้งสองพรรคหลังจากนี้ หากทั้งสองพรรคถอนตัวจากรัฐบาล ก็หมายความว่าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงในการปราบปรามประชาชน
แต่หากยังคงอยู่ร่วมในรัฐบาลก็คาดว่าทั้งสองพรรคคงเห็นด้วยกับมาตรการนี้ และนั่นคือความเสื่อมและความตกต่ำของทั้งสองพรรค
บทเรียนในประวัติศาสตร์บอกเราว่า รัฐบาลใดที่เป็นปรปักษ์และใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชน มักอยู่ในอำนาจได้ไม่นาน
รัฐบาลประยุทธ์ก็คงไม่รอดพ้นกฎเกณฑ์นี้ไปได้ เวลาของการอยู่ในอำนาจใกล้หมดเต็มทีแล้ว