“วันคล้ายวันสวรรคตรัชกาลที่ ๙” ประชาชนทุกหมู่เหล่าร่วมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ “ท่านใหม่” อยากกราบต่อฟ้า ขอเวลา ถวายบังคมพระบรมรูปฯต่อสัก 7 วัน 10 วัน “ยิ่งลักษณ์” ไม่พลาด “เจี๊ยบ” ปลุกม็อบเฉย “อ.นิด้า” สงสาร “ล้มเจ้า”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (13 ต.ค. 63) เฟซบุ๊ก จุลเจิม ยุคล ของ ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือ “ท่านใหม่” โพสต์ข้อความว่า
“อยาก “กราบต่อฟ้า" ขอให้ประชาชนจากทุกภูมิภาคได้โอกาส มีเวลาถวายบังคม พระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นครั้งแรกในชีวิต.....
นับแต่เมื่อประดิษฐานพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร บนปราสาทพระเทพบิดร เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2563 เป็นต้นมา
วันนี้...13 ตุลาคม 2563 ครบ 4 ปีแห่งการสวรรคต “ในหลวงรัชกาลที่ ๙” มีพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายบังคมพระบรมรูปได้เป็นครั้งแรก พร้อมกับการถวายบังคมสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชทุกพระองค์
ในนามประชาชนทุกหมู่เหล่า...อยาก “กราบต่อฟ้า” ขอให้ประชาชนจากทั่วทุกภูมิภาคได้มีโอกาส ถวายบังคม พระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ยาวนานเป็นพิเศษต่อสัก 7 วัน 10 วัน เพื่อทวยราษฎร์ได้มาร่วมกันน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นหาที่สุดมิได้ที่ยาวนานกว่า 70 ปี กันอีกคำรบหนึ่ง”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว นายทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความระบุว่า
“13 ตุลาคม วันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
สถิตในใจตราบนิจนิรันดร์
น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
คนละเรื่องกับ เฟซบุ๊ก Amarat Chokepamitkul อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ของ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล หรือ “เจี๊ยบ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์หัวข้อ “14 ตุลา ออกมา “พบกัน” ที่ราษฎร์ดำเนิน”
พร้อมระบุว่า เราจะไม่ปล่อยให้เยาวชนคนรุ่นเปลี่ยนและแกนนำผู้เสียสละทั้งชีวิตและอิสรภาพต้องต่อสู้เรียกร้องประเทศที่ดีกว่านี้โดยลำพัง
โพสต์นี้เพื่อแจ้งเพื่อนพี่น้องว่า พรุ่งนี้เมื่อเจอกันจะยังใช้เสียงแทบไม่ได้ ยังมีไข้และปวดแผลมีอาการแทรกซ้อนมากเกินที่คุณหมอประเมินไว้หลังผ่าตัดต่อมทอนซินออกไปเมื่อ 4 วันก่อน
#เชื่อมั่นและศรัทธา.”
ที่น่าสนใจอย่างมากก็คือ เฟซบุ๊ก Warat Karuchit ของ ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายสื่อสารองค์การ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA ที่โพสต์ข้อความ ว่า
“บังเอิญได้เห็นคอมเมนต์ที่โจมตีในหลวง ร.๙ ซึ่งตอนนี้ค่อยๆ เปิดตัวมากขึ้นเรื่อยๆ อ่านไปตอนแรกก็ไม่พอใจ แต่ตอนหลังเริ่มรู้สึกว่า สงสารคนเหล่านี้ เพราะ
1. เขาเป็นคนโชคร้ายอย่างที่สุด เกิดมาในรัชสมัยของธรรมราชาแท้ๆ ได้เห็นหรืออย่างน้อยก็ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงทำ พระอัจฉริยภาพในด้านต่างๆ ที่ไม่ใช่แค่ชาวไทยเท่านั้นที่ยกย่อง แต่ทั่วโลกต่างสรรเสริญพระเกียรติคุณ หรือแม้แต่พระอริยสงฆ์มากมายก็ยกให้พระองค์เป็นอริยบุคคล แต่คนเหล่านี้กลับไม่รู้สึกซึมซับ ไม่ภาคภูมิใจ ไม่ซาบซึ้งถึงความโชคดีของตนเอง ที่คนอื่นอีกมากมายไม่มีโอกาส
2. เขาขาดที่พึ่งทางใจอันเป็นบุคคลอันประเสริฐ เราทุกคนเกิดไม่ทันพระพุทธเจ้า หรือศาสดาของศาสนาใด แต่คนไทยในรัชสมัยของพระองค์โชคดีอย่างที่สุด มีพระองค์ทรงเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจมากว่า 70 ปี ได้มีพระองค์เป็นผู้นำประเทศ ได้รับฟังพระราชดำรัส พระบรมราโชวาท อันเป็นธรรมะชั้นสูง ที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ที่ทรงแสดงให้เห็นด้วยพระองค์เอง จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า หากคนเหล่านี้ไม่นับถืออริยบุคคลเช่นพระองค์แล้ว จะนับถือบูชาอะไรเป็นสรณะ?
3. เขาเป็นคนที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยความร้อนรุ่ม และหาความสุขในชีวิตได้ยาก ที่จำต้องฝืนทนอยู่ในสังคมที่เคารพนับถือ จงรักภักดีต่อพระองค์ ไปตลอดชั่วชีวิต เห็นคนไทยแสดงความอาลัย สดุดีพระเกียรติคุณของพระองค์ทีไรก็คงจะรู้สึกหมั่นไส้ เห็นคนใส่เสื้อเหลือง เปลี่ยนรูปโปรไฟล์ก็ร้อน และจะแสดงความเห็นอย่างที่ตนต้องการก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เกรงกลัวการต่อต้านจากสังคม หรือกลัวทำผิดกฎหมาย แม้ตอนนี้จะเปิดตัวมากขึ้น แต่ทุกครั้งก็จะถูกโจมตีกลับอยู่เสมอ จึงได้แค่รวมตัวกันอยู่เพียงสังคมกลุ่มเล็กๆ ที่คิดเห็นเช่นเดียวกัน และเทิดทูนบูชาผู้ที่ต่อต้านความดีที่พระองค์ทำ ซึ่งความดีในนิยามของคนเหล่านี้ คงจะมีความแตกต่างอย่างยิ่งกับแบบแผนและวัฒนธรรมของสังคมไทยที่เรายอมรับ
จริงๆ แล้วคนเหล่านี้ อาจจะไม่ใช่คนไม่ดีในเนื้อแท้ และอาจจะคิดว่าเขาโชคดีที่ “ตาสว่าง” แต่สำหรับผม ด้วยเหตุผลทั้งสามข้อนี้ ทำให้ผมคิดว่าคนเหล่านี้เป็นคนที่โชคร้ายและน่าสงสารที่สุดกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย”
แน่นอน, สิ่งที่ อ.นิด้า นำเสนอ ดูเหมือนเป็นการเหน็บแนมแกมประชด แต่ทว่าแท้จริงแล้ว เมื่อวิเคราะห์ให้ดี จะเห็นว่า สิ่งที่ท่านนำเสนอเป็นมุมมองอีกมุมหนึ่งที่น่าคิด เพราะคนส่วนใหญ่มักจะไม่พอใจ หรือ เกลียดชัง อยากตอบโต้ด้วยอะไรสักอย่างให้สาแก่ใจ ไม่มีใครมองในมุมสงสารเท่าใดนัก
แต่หลายคนอาจแย้งว่า น่าสงสารก็จริง แต่ถ้าเอาพฤติกรรมที่ไม่น่าสงสาร แถมหยาบคาย หาญกล้าท้าทาย ล่วงล้ำก้ำเกิน สถาบันที่คนไทยเทิดทูน จงรักภักดี มาชั่งน้ำหนักแล้ว หลายคนก็สงสารไม่ลงเหมือนกัน
เรื่องนี้จริงหรือไม่ หลายคนไม่ต้องการข้อยืนยัน หรือพยานหลักฐานอะไรแล้ว เพราะเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เป็นจุดเริ่มที่ทำให้เห็น ต่อมา ก็เมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ท้องสนามหลวง และในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ ที่โหมประโคมกระแสกันมาแล้วหลายวัน สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ พวกเขา ดันเด็กเยาวชนออกหน้าเพื่อต้องการ “ปฏิรูปสถาบัน” ในแบบที่นักวิชาการบางคนเห็นว่า เป็นการ “ย่ำยี” มากกว่า แล้วจะให้ประชาชนคิดอย่างไร
นี่คือ สาเหตุที่ทำให้หลายคนหลายกลุ่มทนไม่ได้ ออกมาเคลื่อนไหว ปกป้องสถาบันกันยกใหญ่ บางคนถึงขนาดจะปฏิบัติการเก็บกวาดขยะแผ่นดินเลยทีเดียว
สถานการณ์เช่นนี้ จึงพูดได้ว่า ไม่เป็นผลดีต่อคนไทย ประเทศไทย ไม่ว่า ฝ่ายไหนจะเป็นผู้ชนะก็ตาม เพราะดูเหมือนว่า นี่ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มที่น่ากลัวมากขึ้นทุกวันต่างหาก... ไม่เชื่อก็คอยดู!