ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ปาท่องโก๋ฟีเวอร์ ก็กลบไม่ได้!! เมื่อ “ชาญศิลป์” เปลี่ยนการบินไทยเป็น “สายการบินแห่งญาติ” หลังตั้งภรรยาประธานบอร์ดข้ามห้วยขึ้น Director ตามด้วยตั้งฝ่ายบริหารอีกมากมาย สวนทางกับลดเงินเดือน-เลย์ออฟพนักงาน ตามแผนฟื้นฟู
กระแส “ปาท่องโก๋” ฟีเวอร์ ของการบินไทย ทำให้สังคมรับรู้ และให้กำลังใจต่อความพยายามดิ้นรนปากกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอด ซึ่งก็ต้องขอชื่นชมสปิริตจิตอาสาของพนักงานการบินไทย ที่ร่วมแรงร่วมใจทำทุกอย่างเพื่อองค์กรที่ตัวเองรัก ในยามที่ยากลำบากที่สุดในห้วงเวลานี้
แต่เบื้องหลังของ “ปาท่องโก๋” สุดฟิน... กลับมีเรื่องบั่นทอนกำลังใจ และซ้ำเติมสภาวะของการบินไทยให้เลวร้ายลงไปอีก นั่นคือ การที่ฝ่ายบริหาร จัดการโยกย้ายแต่งตั้ง เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง แบบชนิดที่ว่า ไม่แคร์พนักงานกันเลยทีเดียว
กรณีแต่งตั้ง “พงศ์อุมา ดิษยะศริน” ภรรยา ของ “พล.อ.อ ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน” ประธานบอร์ด ขึ้นเป็นผู้อำนวยการฝ่าย ระดับ 10 แบบข้ามสายงาน ท่ามกลางกระแสวิจารณ์ไม่เหมาะสมเมื่อ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นเรื่องเมาท์มอยน้อยใจกันใน “ทีจี” กันอยู่จนถึงทุกวันนี้
พนักงานต่างพากันตั้งคำถาม ตั้งแต่ระแคะระคายว่าจะมีคำสั่ง ว่าทำไมฝ่ายบริหาร ไม่คำนึงถึงสถานการณ์ของบริษัทตอนนี้เลยหรือไร ว่าลำบากแค่ไหน ในภาวะที่การบินไทยต้องการมืออาชีพมาช่วยกันฟันฝ่าวิกฤต ผู้ใหญ่กลับยังเห็นแก่เครือญาติ แต่งตั้งไม่ดูเวลาว่าเหมาะสมหรือไม่ ไม่ดูความสามารถว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถกับตำแหน่งที่เป็นหรือไม่ ... คิดแต่ประโยชน์ที่จะได้กับพวกตัวเอง บางคนถึงกับบอกว่าการบินไทยที่เคยเป็นสายการบินแห่งชาติ ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็น “สายการบินแห่งญาติ” ที่ฝ่ายบริหารไม่ละอายใจกันบ้างเลย
ว่ากันว่า มีความพยายามผลักดันภรรยาประธานบอร์ด มาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยมีเสียงร่ำลือกันว่า “พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์” ขณะที่ยังเป็น ผบ.ทอ. และทำหน้าที่รองประธานบอร์ดการบินไทย ได้ใช้เส้นสายฝ่ายบริหารที่เป็นทหารอากาศในการบินไทยด้วยกัน ช่วยหาตำแหน่งที่เหมาะสมให้ภรรยาตัวเองมาตลอด แต่ยังไม่สบจังหวะ ประกอบกับมีเสียงคัดค้านจากพนักงานมาเป็นระยะ แต่แม้จะไม่ได้รับตำแหน่งที่ต้องการก็ว่ากันว่า “พงศ์อุมา” ได้รับการเลื่อนขั้น เสนอขึ้นเงินเดือน ได้สิทธิต่างๆ ตามมาตลอด
ที่สำคัญ เมาท์กันสนั่นว่า เธอได้สิทธิพิเศษที่ไม่ต้องทำงานตามหน้าที่ เพราะมีตำแหน่งเป็นนายกสมาคมแม่บ้านกองทัพอากาศ ด้วยสามีเป็น ผบ.ทอ. มาแตะบัตรตอนเช้าแล้วก็ไป... จริงๆ แล้วมาทำงานให้การบินไทยตอนไหนก็ยังสงสัยกันอยู่
ฟังว่า พฤติกรรมนี้ คนการบินไทยเห็นจนชินชามาตลอด และไม่นึกว่าฝ่ายบริหารจะกล้าหาญชาญชัยแต่งตั้งขึ้นเป็น ผอ.โดยที่ยังไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่ามีความสามารถอย่างไร
เกี่ยวกับเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายนี้ เมื่อขุดคุ้ยกันไปอีก ก็พบว่าในยุคที่การบินไทยเข้าแผนฟื้นฟู ไม่ใช่แค่ “ภรรยาประธานบอร์ด” ที่มีการแต่งตั้งเอื้อประโยชน์ให้กัน แต่มีอีกหลายคนที่อยู่ในข่ายได้รับการโปรโมตแต่งตั้งแบบข้ามห้วย ข้ามหัวกัน เพียงแต่คนเหล่านั่นไม่ได้มีนามสกุลดัง และเป็นที่สะดุดตาพนักงาน
ว่ากันว่า ตั้งแต่ “ชาญศิลป์ ตรีนุชกร” เข้ามาเป็นกรรมการ และ “รักษาการ DD การบินไทย” ก็มีข่าวในทำนองมีผู้ยิ่งใหญ่ในการบินไทย สั่งการให้ทำในสิ่งที่เอื้อประโยชน์ต่อตัวเองและพวกพ้อง โดยให้มีคำสั่งแต่งตั้งระดับบริหารมากมาย อย่างน้อยๆ 3 คำสั่ง ที่ออกมามีการแต่งตั้งฝ่ายบริหารไปแล้ว 50-60 ตำแหน่ง !
แน่นอนว่า การโยกย้ายหรือโปรโมตแต่ละขั้นแต่ละตำแหน่งของการบินไทย นั่นหมายถึง สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ เช่น การเลื่อนจากระดับ 9 ไปเป็นระดับ 10 นั้นมีผลต่อสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับเพิ่มขึ้นไปด้วย โดยนอกจากเงินเดือน ค่าน้ำมันรถที่เพิ่มขึ้นแล้ว จะได้รับสิทธิ์ที่นั่งชั้น 1 (เฟิร์สคลาส) ตลอดชีวิตทั้งครอบครัว ขณะที่ระดับ 9 จะได้สิทธิ์ที่นั่งชั้นธุรกิจ (Business)เท่านั้น
เรียกว่า บริษัทจะแย่อย่างไร พวกพ้องข้าต้องมาก่อน รู้ทั้งรู้ว่าการบินไทยมีโครงสร้างบริษัทที่มีแต่ผู้บริหารเต็มไปหมด แต่ทำงานไม่คุ้มตำแหน่ง-เงินเดือน และสิทธิพิเศษที่ได้รับ ในยามวิกฤตแทนที่จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส รื้อโครงสร้าง จัดการรีดไขมัน กลับยังทำแบบเดิม
ขณะที่บริษัทอยู่ในระหว่างทำแผนฟื้นฟูฯ และ ฝ่ายบริหารที่เฝ้าบอกกับพนักงานให้ทำใจกับการถูก “เลย์ออฟ” ลดเงินเดือน หรือขอแรง ขอจิตอาสา ดิ้นรนทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้ทำเช่น ทอดปาท่องโก๋ขาย ฝ่ายบริหารกลับยังแต่งตั้งพวกพ้องกันกินตำแหน่ง เสวยสุขกับสิทธิประโยชน์เหมือนปกติ ใครที่ไหนจะรับได้ ?
มิหนำซ้ำ ว่ากันว่า ที่ฝ่ายบริหารตั้งใจประโคมข่าวเรื่องการเลย์ออฟพนักงานช่วงนี้ ก็เพื่อกลบกระแสการโยกย้ายฝ่าบริหารดีๆ นี่เอง
เห็นว่า “DD ชาญศิลป์” ตอนนี้เละเป็นโจ๊ก ยิ่งพูดยิ่งผิด ยิ่งสัมภาษณ์ยิ่งล้มไม่เป็นท่า อย่างเช่น ให้สัมภาษณ์ปกป้อง “พงศ์อุมา ดิษยะศริน” ภรรยาประธานบอร์ด ว่า “นามสกุลนี้ มีบุญคุณกับประเทศไทย ...เป็นแม่บ้านกองทัพอากาศ จะได้ช่วยทำงาน CSR ให้บริษัท” การพูดแบบนี้ ทำให้คนระดับอดีต CEO ปตท.กำลังถูกมองว่า ตกกระทะทอดปาท่องโก๋ตาย !!
นั่นเพราะพนักงานเขามีความคิดกันว่า ระหว่างคุณสมบัติการเป็น ภรรยาประธานบอร์ด กับคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ในภาวะฟื้นฟูกิจการเช่นนี้ อดีต CEO ปตท. คิดว่า อะไรคือ ธรรมาภิบาล ?
คำถามมีว่า “ภรรยาประธานบอร์ด” เลือกตำแหน่งได้ตามใจชอบหรือ ? สิทธิการได้ นั่งเฟิร์สคลาส ที่มาพร้อมกับตำแหน่ง Director เรื่องนี้ก็วิพากษ์วิจารณ์กันว่า “ชาญศิลป์” จะแกล้งโง่ ว่าไม่รู้ ไม่ทราบคงไม่ได้ เพราะความจริงต้องปรากฏอยู่แล้วไม่วันใดก็วันหนึ่ง ของแบบนี้พนักงานเขารู้ๆ กันดี
เรื่องดรามาฝ่ายบริหารที่ทำให้เกิดวิกฤตซ้อนวิกฤตในการบินไทยยังมีอีกมาก บางเรื่องก็เป็นเรื่องย้อนแย้งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่ทำกันเป็นขบวนการ หาผลประโยชน์บนความอ่อนแอของการบินไทย วันนี้เอาแค่พอหอมปากหอมคอแค่นี้ก่อน
จะอย่างไรก็ตาม ก็ต้องขอเป็นกำลังใจให้พนักงานทุกคนของการบินไทย ต่อสู้กับสถานการณ์เลวร้ายที่กำลังเผชิญอยู่ มา ณ ทีนี้อีกครั้ง
** การเมืองว่าด้วย เรื่องกัญชา กัญชง กระท่อม ที่พรรค พปชร.กับพรรค ภท. ต่างเร่งทำผลงานหวังใช้เป็น “ไม้เด็ด” เรียกคะแนนเสียงเลือกตั้งครั้งต่อไป
ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทย ของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ได้ออกแคมเปญ “กัญชาเสรี” พืชเศรษฐกิจตัวใหม่... สร้างความฮือฮา และความคาดหวังให้กับประชาชน ว่าจะได้ปลูกกัญชาครัวเรือนละ 6 ต้น... ส่งผลให้พรรคภูมิใจไทยได้คะแนนเสียงจากการเลือกตั้งเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
หลังพรรคภูมิใจไทยเข้าร่วมรัฐบาล “อนุทิน ชาญวีรกูล” นั่งรองนายกฯ ควบ รมว.สาธารณสุข ก็พยายามที่จะ “ปลดล็อก” กัญชาจากยาเสพติด แต่ก็ยังไปได้ไม่สุดตามที่ “สายเขียว” มโนกันไป คือ “ปลด” ได้เพียงการใช้สารสกัดจากกัญชา หรือ “น้ำมันกัญชา” มาใช้ในทางการแพทย์และการวิจัย การผลิต นำเข้า ส่งออก ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษก่อน จึงจะสามารถดำเนินการได้...
ส่วนการปลูกกัญชา ก็ยังไปไม่ถึงประชาชนโดยตรง โดยผู้ปลูกจะต้องมีคุณสมบัติตามกฎหมายกำหนด ต้องเป็นหน่วยงานรัฐ หรือผู้ขออนุญาตอื่น (เช่น วิสาหกิจชุมชน แพทย์แผนไทย ฯลฯ) ที่ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานรัฐ
ใครปลูกกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต ยังคงมีโทษจำคุก และโทษปรับที่ค่อนข้างหนักเหมือนเดิม !!
อย่างไรก็ตาม ถือว่าพรรคภูมิใจไทย เดินมาได้กว่าครึ่งทางแล้ว
ในระหว่างที่พรรคภูมิใจไทยกำลังผลักดัน “นโยบายกัญชา” อยู่นั้น ทางพรรคพลังประชารัฐ โดย “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.ยุติธรรม ก็ผลักดันให้มีการปลดล็อก “พืชกระท่อม” จากบัญชียาเสพติด คู่ขนานกันมา
เพราะ “กระท่อม” ก็มีสรรพคุณทางยา รักษาโรคบิด แก้ปวด มวนท้อง ท้องเสีย ท้องเฟ้อ ท้องร่วง ทำให้นอนหลับ ระงับประสาท เคี้ยวสดก็ทำงานไม่รู้จักคำว่าเหนื่อย
ว่ากันว่า ก่อนหน้านี้ “กระท่อม” ก็ไม่ได้อยู่ในบัญชียาเสพติด...แต่เหตุที่ทำให้ กระท่อมต้องไปติดอยู่ในบัญชียาเสพติดเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ก็เพราะ “พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ. 2486” ซึ่งรัฐบาลในขณะนั้น เห็นว่า ฝิ่นนั้นมีภาษีสูง แต่กระท่อมไม่มีภาษี เมื่อฝิ่นแพง คนหันไปบริโภคพืชกระท่อมที่มีฤทธิ์คล้ายฝิ่น ทำให้รายได้ของรัฐน้อยลง จึงเป็นเหตุผลที่ต้องออก พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ. 2486 และ “กระท่อม” ก็เลยติดอยู่ในบัญชียาเสพติดตั้งแต่บัดนั้นมาจนปัจจุบัน
ในร่าง พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ....ฉบับ “รมว.สมศักดิ์ เทพสุทิน” เสนอนั้น ได้ยกหลักการและเหตุผล ตอนหนึ่งว่า...
...ปัจจุบัน “พืชกระท่อม” ถูกควบคุมโดย พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 (ประเภท 5) ซึ่ง กม. กำหนดกรอบวัตถุประสงค์ของการใช้ประโยชน์ไว้เฉพาะ เพื่อประโยชน์ของทางราชการ การแพทย์ การรักษาผู้ป่วย หรือการศึกษาวิจัยและพัฒนาเท่านั้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับบริบท และสภาพแวดล้อมของสังคมไทย ซึ่งพบว่า มีการใช้พืชกระท่อม ในรูปแบบวิถีชาวบ้าน เช่น การเคี้ยวใบกระท่อมสด หรือการนำมาชงชา หรือต้มน้ำดื่ม สำหรับตนเองในกลุ่มชาวไร่ ชาวสวน กลุ่มผู้ใช้แรงงาน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ประกอบกับในต่างประเทศพบว่า พืชกระท่อม ไม่ได้ถูกประกาศกำหนดให้เป็นยาเสพติดให้โทษหรือวัตถุออกฤทธิ์ที่ต้องควบคุมตามกฎหมายระหว่างประเทศด้านยาเสพติด... ดังนั้น การที่ประเทศไทยถือว่าพืชกระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษ จึงถือว่าเป็นการควบคุมในระดับเข้มงวด (เกินไป)
แล้วเมื่อวานนี้ (12 ต.ค.) ที่ประชุม ครม. ก็มีมติอนุมัติหลักการ ร่าง พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ. ... ตามที่ กระทรวงยุติธรรม เสนอ จากนี้ก็ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
อย่างไรก็ตาม ร่าง พ.ร.บ.พืชกระท่อม ฉบับนี้ ก็ยังไม่ได้ปลดล็อก “กระท่อมเสรี” แต่ยังมี ข้อกำหนด ข้อห้าม เช่น ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นำเข้า หรือส่งออกพืชกระท่อม เว้นแต่ได้รับอนุญาตจาก เลขาธิการ ป.ป.ส. ห้ามขายพืชกระท่อมให้กับผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี และสตรีมีครรภ์ ห้ามใช้ จ้าง วาน ให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ขายพืชกระท่อม ห้ามขายพืชกระท่อมในสถานที่บางแห่ง เช่น โรงเรียน หอพัก สวนสาธารณะ สวนสัตว์ สวนสนุก หรือขายผ่านอินเทอร์เน็ต หรือเร่ขาย ห้ามโฆษณาหรือทำการสื่อสารการตลาด ห้ามผู้มีอายุตั้งแต่ 18 ปี ขึ้นไปเสพพืชกระท่อม ในลักษณะ 4x100 (ผสมกับยา ยาเสพติด วัตถุออกฤทธิ์) ห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เสพพืชกระท่อม
ทั้งนี้ กม.ฉบับนี้ไม่ใช้บังคับกับ (1) ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีส่วนประกอบของพืชกระท่อม ตาม กม.ว่าด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพร (2) ยาที่มีส่วนประกอบของพืชกระท่อม ตาม กม.ว่าด้วยยา (3) อาหารที่มีส่วนประกอบของพืชกระท่อม ตาม กม.ว่าด้วยอาหาร และ (4) เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของพืชกระท่อม ตาม กม.ว่าด้วยเครื่องสำอาง
ให้เลขาธิการ ป.ป.ส. หรือผู้ได้รับมอบหมาย มีอำนาจเปรียบเทียบปรับในกรณีความผิดที่มีอัตราโทษปรับสถานเดียว และให้ รมว.ยุติธรรม และ รมว.สาธารณสุข รักษาการตาม พ.ร.บ.นี้
กำหนดบทเฉพาะกาล โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้อนุญาตผลิต นำเข้า และส่งออก พืชกระท่อม รวมถึงมีอำนาจเปรียบเทียบปรับ แทนเลขาธิการ ป.ป.ส. เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 10 ปี เมื่อ กม.มีผลใช้บังคับ…
เป็นอันว่า ขณะนี้ ร่างกฎหมายว่าด้วยการปลดล็อกกัญชา กับ ปลดล็อกกระท่อม ของ 2 พรรค ต่างก็ผ่านความเห็นชอบจาก ครม. รอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนฯด้วยกันทั้งคู่ ... ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า ร่างกฎหมายฉบับใด จะผ่านสภาฯ ก่อนกัน เมื่อผ่านแล้วหน้าตาจะออกมาเป็นอย่างไร