ข่าวปนคน คนปนข่าว
**จับตา “กุลิศ สมบัติศิริ” มาแรงตัวเต็ง “สุพัฒนพงษ์” ดันนั่งประธานบอร์ด ปตท.
ช่วงนี้แวดวงรัฐวิสาหกิจหลายๆ ที่ นับว่ามีคลื่นลมของการเปลี่ยนแปลงพัดแรง ดังเช่นรัฐวิสาหกิจสังกัดพลังงานที่แต่ละองค์กร “ไซส์ใหญ่บิ๊กเบิ้ม” ดูแลพลังงานของประเทศมูลค่าหลายแสนล้าน ขณะนี้ว่ากันว่า “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน กำลังอยู่ระหว่างปรับทัพจับตัวบุคคลลงองค์กรสำคัญๆ ด้านหนึ่งก็เป็นไปตามการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงในกระทรวงก่อนนี้ และอีกด้านหนึ่งก็เพื่อกุมอำนาจบริหารเบ็ดเสร็จของรัฐมนตรีนั่นเอง
แน่นอนที่สุดว่า ในบรรดารัฐวิสาหกิจของกระทรวงพลังงาน ที่มีคนจับตาจับจ้องมากที่สุด คงไม่พ้น ปตท. ซึ่งแว่วว่า “สุพัฒนพงษ์” จะผลักดัน “กุลิศ สมบัติศิริ” ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นกรรมการและประธานกรรมการบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) แทน “ไกรฤิทธิ์ อุชุกานนท์ชัย” ประธานกรรมการ ปตท.คนปัจจุบัน ที่อายุจะครบ 65 ปี ในเดือน ธ.ค. 63 ซึ่งตามกฎหมายห้ามดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจ
“ปลัดกุลิศ” ตอนนี้ต้องถือว่ามาแรง ซึ่งก่อนหน้านี้ มีข่าวกระเซ็นกระสายมาว่า “ไพรินทร์ ชูโชติถาวร” อดีตซีอีโอ ปตท.และ อดีต รมช.คมนาคม เป็นตัวเต็ง แต่ก็ด้วยเหตุผลเรื่องของอายุที่หากนั่งประธานบอร์ดได้ อาจจะทำหน้าที่ได้ไม่กี่เดือนก็จะเข้าข่ายอายุครบ 65 ทางเลือกจึงตกมาอยู่ที่ “กุลิศ” ซึ่งหลังจากนี้ หรือหลังกลางเดือน ต.ค.นี้ไป ซึ่งหากบอร์ด ปตท. ประชุมในวาระเรื่องนี้ก็คงจะมีอะไรชัดเจนออกมา
ว่ากันว่า เหตุผลที่ “สุพัฒนพงษ์” ต้องการให้ “กุลิศ” เป็นมือเป็นไม้ที่ ปตท.เพราะ “กุลิศ” เป็นคนทำงานคล่องแคล่ว ประกอบกับบุคลิกที่สามารถประสานสิบทิศ ทั้งการเมืองและแวดวงธุรกิจ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เป็นที่รับรู้กันมาตั้งแต่สมัยอยู่กระทรวงการคลัง โดยสิงหาคมปี 2561 “กุลิศ” ถูกดึงตัวข้ามห้วยจากอธิบดีกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ให้มานั่งเป็นปลัดกระทรวงพลังงาน ซึ่งตอนนั้น “อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” รมว.คลัง ได้บอกเหตุผลการโยกย้ายที่สร้างความประหลาดใจว่า กระทรวงพลังงานขอตัว “กุลิศ” มา และทางกระทรวงการคลังก็เห็นด้วย เพราะเป็นคนเก่ง และกระทรวงการคลังต้องการส่งเสริมคนของกระทรวงการคลังให้ทำงานในตำแหน่งที่ดีขึ้น
นั่นจึงทำให้ “กุลิศ” มาโลดแล่นที่กระทรวงพลังงาน แต่ก็มีข่าวออกมาเป็นระยะๆ ว่า เขาก็ยังอยากกลับไปที่กระทรวงการคลังอยู่เนืองๆ รวมถึงการโยกย้ายข้าราชการฤดูล่าสุด โดยฟังว่า “กุลิศ” ขอกลับไปเป็นปลัดกระทรวงการคลัง แต่ ครม.แต่งตั้ง “กฤษฎา จีนะวิจารณะ” อธิบดีกรมศุลกากร เป็นปลัดกระทรวงการคลังคนใหม่ แทน “ประสงค์ พูนธเนศ” ที่เกษียณอายุราชการไปเมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา
เอาเป็นว่า หาก “กุลิศ” ที่ รมว.พลังงาน มีแผนส่งไปเป็นตัวแทนในฐานะประธานบอร์ด ปตท. กำหนดทิศทางของ ปตท.ที่เป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ของประเทศ ก็จะมีส่วนช่วยสานเสริมสนับสนุนผลักดันการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจของประเทศได้เต็มที่
สิ่งที่น่าปวดหัวของ “รมว.พลังงาน” ก็อาจมีนิดหน่อยตรงที่ว่า “กุลิศ” นอกจากจะเป็นปลัดกระทรวงพลังงาน วันนี้ยังเป็น ประธานกรรการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟฝ.) ซึ่งต้องถือเป็นองค์กรใหญ่ มักจะมีผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกับ ปตท. หาก “กุลิศ” จะมาเป็นกรรมการและประธานกรรมการ ปตท. คงต้องลาออกจากกรรมการและประธานกรรมการ กฟผ. ซึ่งนั่นก็จะมีผลให้ รมว.พลังงาน ต้องสรรหาประธานกรรมการ กฟผ.คนใหม่ มาแทน “กุลิศ” แต่ไม่น่าจะนับเป็นอย่างไรได้ เพราะเวลานี้ก็คงจะมีคนพร้อมให้เลือกอยู่แล้ว
จับตาดูกันให้ดีๆ การเปลี่ยนแปลงทั้งที่ ปตท. และ กฟผ.ไม่นานเกินรอนี้แน่นอน
** วันพุธหัวกุดท้ายเน่า !! ศาล รธน.นัดชี้ชะตา 64 ส.ส.ถือหุ้นสื่อ ใครจะอยู่ ใครจะไป รู้กันบ่ายวันที่ 28 ต.ค.นี้
คงจำกันได้ คดีถือหุ้นสื่อ คนที่โดนศาลรัฐธรรมนูญฟันเป็นคนแรก คือ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จากกรณีถือครองหุ้นสื่อ “บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด” ขณะลงสมัครรับเลือกตั้ง ต้องตกเก้าอี้ ส.ส. แล้วยังมี “ดาบสอง” ตามมา คือกรณีปล่อยเงินกู้ให้พรรค คราวนี้โทษถึง “ยุบพรรค” พร้อมตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค 10 ปี จน ส.ส.ที่เหลือต้องไปตั้งพรรคใหม่ ชื่อ “พรรคก้าวไกล” ในปัจจุบัน
ช่วงที่ศาล รธน.กำลังพิจารณาคดีถือหุ้นสื่อของ “ธนาธร” อยู่นั้น ฝ่ายค้านก็ตรวจสอบ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลว่ามีใครถือหุ้นสื่อบ้าง แล้วรวบรวมรายชื่อยื่นผ่าน “ชวน หลีกภัย” ประธานสภาฯ ให้ส่งศาล รธน.พิจารณาเช่นกัน ... ทำเอารัฐบาลถึงกับผวา เพราะขณะนั้นเสียงของฝ่ายรัฐบาลอยู่ในสภาพ “ปริ่มน้ำ” หากศาล รธน. รับเรื่องไว้พิจารณา แล้วสั่งให้ ส.ส.เหล่านั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว จนกว่าจะมีคำตัดสินออกมาละก็วุ่นแน่ !!
ฝ่ายรัฐบาลจึงแก้เกมด้วยการตรวจสอบรายชื่อ ส.ส.ฝ่ายค้านที่ถือหุ้นสื่อ เพื่อยื่นศาล รธน.บ้าง ... ปรากฏว่า มี ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่ถูกยื่นไป 41 คน ฝ่ายค้าน 33 คน ...ยังดีที่ศาล รธน.รับเรื่องไว้พิจารณาแล้วไม่มีคำสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว และเมื่อตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว มีผู้เข้าข่ายต้องพิจารณาฝ่ายละ 32 คน รวม 64 คน
ถึงวันนี้ การตรวจสอบหาข้อมูลของศาล รธน. ได้ข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้แล้ว จึงประกาศยุติการไต่สวน และกำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ ลงมติ และได้เวลาลุ้นระทึกกับคำวินิจฉัยชี้ขาด ในวันพุธที่ 28 ต.ค.นี้ ...
ในการแถลงได้แบ่งเวลาเป็น 2 ช่วง คือ เวลา 15.00 น. จะอ่านคำวินิจฉัยในส่วนของ 32 ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลก่อน มีจาก “พรรคพลังประชารัฐ” 21 คน คือ 1. นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ 2. นางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ 3. นายอรรถกร ศิริลัทธยากร 4. นายกษิดิ์เดช ชุติมันต์ 5. นางกุลวลี นพอมรบดี 6. นายชาญวิทย์ วิภูศิริ 7. นายฐานิสร์ เทียนทอง 8. นายฐาปกรณ์ กุลเจริญ 9. น.ส.ตรีนุช เทียนทอง 10. นายทวิรัฐ รัตนเศรษฐ 11. นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา 12. นายปฐมพงศ์ สูญจันทร์ 13. นายภิญโญ นิโรจน์ 14.นายวีระกร คำประกอบ 15. พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ 16. นายสมเกียรติ วอนเพียร 17. นายสัมพันธ์ มะซูโซ๊ะ 18. นายสิระ เจนจาคะ 19. นายสุชาติ ชมกลิ่น 20. นายอนุชา น้อยวงศ์ 21. น.ส.ภาดา วรกานนท์
“พรรคประชาธิปัตย์” 8 คน ได้แก่ 1. น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร 2. นายอัศวิน วิภูศิริ 3. นางกันตวรรณ ตันเถียร กุลจรรยาวิวัฒน์ 4. นายภานุ ศรีบุศยกาญจน์ 5. น.ส.วชิราภรณ์ กาญจนะ 6. นายสมชาติ ประดิษฐพร 7. นายสาคร เกี่ยวข้อง 8. นายสาธิต ปิตุเตชะ ...พรรคชาติพัฒนา 1 คน คือ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ, พรรครวมพลังประชาชาติไทย 1 คน คือ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล และ พรรคประชาภิวัฒน์ 1 คน คือ นายสมเกียรติ ศรลัมพ์
จากนั้น เวลา16.00 น. ก็ถึงคิว 32 ส.ส.ฝ่ายค้าน จาก “พรรคอนาคตใหม่” 20 คน คือ 1. พล.ท.พงศกร รอดชมภู 2. นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ 3. นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ 4. นายสุรชัย ศรีสารคาม 5. นายชำนาญ จันทร์เรือง 6. นายวินท์ สุธีรชัย 7. นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ 8. นายคารม พลพรกลาง 9. นายวาโย อัศวรุ่งเรือง 10. นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล 11. นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล 12. นายวิภพ วิริยะโรจน์ 13. น.ส.เบญจา แสงจันทร์ 14. นายสมเกียรติ ไชยวิสุทธิกุล 15. นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ 16. น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ 17. น.ส.สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา 18. นายจิรัฎฐ์ ทองสุวรรณ์ 19. นายปดิพัทธ์ สันติภาดา และ 20. น.ส.วรรณวรี ตะล่อมสิน
“พรรคเพื่อไทย” 4 คน ได้แก่ 1. นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ 2. นายนิยม ช่างพินิจ 3. นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม และ 4. นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ “พรรคเพื่อชาติ” 4 คน ได้แก่ 1. นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ 2. นางลินดา เชิดชัย 3. น.ส.ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช 4. นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล “พรรคเสรีรวมไทย” 3 คน คือ 1. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส 2. น.ส.ธนพร โสมทองแดง 3. น.ส.พัชนี เพ็ชรจินดา และ พรรคประชาชาติ 1 คนคือ นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ
ใน 64 คนนี้ ใครจะรอด ใครจะโดน จะมากจะน้อย ไปลุ้นกันในช่วงบ่ายวันพุธที่ 28 ต.ค.นี้ ...แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ศาลรธน.ได้แบ่งเวลาประกาศคำวินิจฉัยเป็น 2 ช่วง ประมาณว่าฝ่ายละ 1 ชม. หรือจะมีคนโดนฟันไม่ใช่น้อย...แค่คิดก็รู้สึกเสียวท้องน้อยวาบ..วาบ !!