ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“รัฐบาลแห่งชาติ” ไวเกิ๊นน!! รีเซตเพื่อไทย หัวขบวนคนเดิม “สมพงษ์ ณ จันทร์ส่องหล้า” ส่วนเลขาฯมาแหวก “เสี่ยโจ้” ดัน “เฮียเสริฐ โคราช” เข้าป้าย มโนเรื่อย “รัฐบาลแห่งชาติ” บอกเลยรอไปก่อน
ไม่น่าจะมีอะไรผิดคาด “เฮียพงษ์” สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ที่เพิ่งไขก๊อก เพื่อให้มีการเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ น่าจะคัมแบ็กหัวเรือใหญ่หน้าฉากอีกครั้ง เพราะด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ และโปรโฟล์ มีเหนือกว่าบรรดา ส.ส.ในพรรคคนอื่นๆ เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงที่จะควงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
ขณะที่แม่บ้านพรรคคนใหม่ ถูกแชร์อำนาจไปให้ ส.ส.สายอีสาน อย่าง “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” ส.ส.นครราชสีมา และอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกลอรักของ “เสี่ยโจ้” ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม ที่ปฏิเสธตำแหน่ง
ส่วน “สุทิน คลังแสง” ส.ส.มหาสารคาม และประธานวิปรัฐบาล ที่กระสันอยากจะเป็นต้องคงฝันค้าง อดขึ้นวอ เพราะเป็นแค่แถวสอง แถวสาม ไม่มีอำนาจบารมี หรือดีกรี ที่คนในพรรคให้ความยำเกรง นอกจากอภิปรายสไตล์ลูกทุ่ง
ที่สำคัญ วันนี้ คนที่ผลักดันให้ “สุทิน” มาเป็นประธานวิปรัฐบาลอย่าง “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ก็ปลีกตัวไปมุ่งมั่นกับสนามเมืองหลวง เตรียมตัวรับศึกชิงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ไม่มีอำนาจในพรรคจะไปคุ้มหัวให้แล้ว
ขณะที่ดูคำให้สัมภาษณ์ของ “ชูศักดิ์ ศิรินิล” รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และลิ่วล้อลูกหาบภายในพรรค ต่อข่าวคราวเรื่อง “หญิงอ้อ” คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร จะมากุมบังเหียน ต้องบอกว่าตอบกันแบบยำเกรง “นายหญิง” ชัดเจนมาก !!
เป็นอันชัดว่า การจัดระบบระเบียบใหม่ของพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ มันเกี่ยวข้องกับการปรากฏตัวของ “นายหญิง” แห่งจันทร์ส่องหล้า ว่า การมาคุมพรรคอยู่ข้างหลังด้วยตัวเองแน่ๆ
การมาบัญชาการเองของ “นายหญิง” ยังจะเป็นการเปิดทางให้อีก 2 นางเสือแห่งบ้านชินวัตร อย่าง “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และ “หนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับมายุ่มยามวางยุทธศาสตร์ในพรรคร่วมกัน เพื่อกำหนดทางเดินต่อจากนี้อีกครั้ง
การเดินหลังจากนี้ของพรรคเพื่อไทยจะไม่เหมือนเดิม ดูจากการเปลี่ยนโลโก้พรรคใหม่ จาก “หัวแหลม” เป็น “หัวกลม” ได้ มันก็ล้อกับช่วงที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทย เหมือน “ผีหัวขาด” นายใหญ่-นายหญิง ต่างปล่อยมือ ให้คุมกันเอง จนเละตุ้มเป๊ะ
แต่การใส่หัวครั้งนี้ ก็ยังแสดงสัญลักษณ์ว่า วันนี้พรรคเพื่อไทย กลับมามี “หัว” อีกครั้งหนึ่ง
คงจะกอบกู้พรรคกันยกใหญ่ วางยุทธศาสตร์กันใหม่ ไม่ให้ตกต่ำจนถึงขั้นต้องมาเดินตามเด็กรุ่นลูกรุ่นหลานอย่าง “พรรคก้าวไกล” ไม่ว่าจะในสภาฯ หรือนอกสภาฯ หมดท่าพรรคเบอร์หนึ่งของประเทศ จากนี้คงไม่เดินกันสะเปะสะปะ แต่จะก้าวย่างอย่างปลอดภัย
ขณะที่ข่าวลือ “รัฐบาลแห่งชาติ” ไหน “โหร คมช.” วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ ยังมานั่งทางใน มองเห็นว่า จะได้สิ่งคล้ายๆ รัฐบาลแห่งชาติ ไม่เกินสิ้นปีนี้อีก ยิ่งทำให้ “สายมโน” หวาดระแวงว่าจะเกิดขึ้น ล่าสุด ก็ถูกสยบไปแล้ว หลังฝ่ายที่เกี่ยวข้องออกมาปฏิเสธกันพร้อมหน้า
ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม หรือ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ยืนยันว่า ไม่มี ดังนั้น มันคงไม่เกิดขึ้นในทันทีทันใด
เพียงแต่ว่า “บิ๊กตู่” ก็ไม่ได้ปิดประตูตายสูตรดังกล่าวเสียทีเดียว เพราะมีอยู่คำพูดหนึ่งที่ว่า “มันเป็นเรื่องของวันข้างหน้า” ฉะนั้น มันมีโอกาสเกิดได้อยู่เหมือนกัน การจะมีรัฐบาลแห่งชาติตอนนี้ มันไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคเพื่อไทย เพราะอย่าลืมว่า บรรดามวลชนต่างเกลียดอีก
ฝ่ายอย่างเข้าไส้ การผนึกกำลังกันตอนนี้ มีแต่เสียกับเสียมวลชน ที่จะยิ่งตีห่างออกไปอยู่กับพรรคก้าวไกลมากขึ้น
แฟนคลับพรรคพลังประชารัฐนั้น เกลียด “ระบอบทักษิณ” แบบผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ พอๆ กับมวลชนคนเสื้อแดง ฐานเสียงพรรคเพื่อไทย ที่ไม่เอา “บิ๊กตู่” เช่นกัน
กระนั้น แม้จะไม่สามารถมี “รัฐบาลแห่งชาติ” ได้ แต่มันก็มีสูตรอื่นๆ ที่จะมีความร่วมมือกันได้ทางลับ ไม่ว่าจะเป็นการแยกปลาออกจากน้ำ นั่นคือ พรรคเพื่อไทย ภายใต้การบัญชาการของ “หญิงอ้อ” จะไม่ไปให้ความร่วมมือกับม็อบที่จะต่อสู้กับสถาบันฯ
หรืออาจจะมีการเข้าไปดูแลพรรคเพื่อไทยมากขึ้นในทางลับ เพื่อกำหนดให้การต่อสู้ยังอยู่ “ในสภา” ขณะเดียวกัน ก็ค่อยๆ โดดเดี่ยวพรรคก้าวไกลในทางนิตินัย เพราะต้องไม่ลืมว่า ยิ่งพรรคก้าวไกลโตขึ้นมากเท่าไหร่ พรรคเพื่อไทยยิ่งเล็กลงเท่านั้น!!
แต่จะไม่มีลักษณะของการมาร่วมอยู่ในรัฐบาล เพราะตอนนี้กระแสของทั้งสองพรรคไม่ได้ดีแต่อย่างใด และหน้าฉากอาจจะยังฟัดกันต่อไป รัฐบาลแห่งชาติ จึงอาจจะไกลเกินไป
สิ่งที่ได้เห็นอาจจะเป็นลักษณะของ “รวมไทยสร้างชาติ” วาทกรรมที่รัฐบาลพยายามจะโพนทะนา มาตลอด คือ ไม่ต้องต่อสู้กันถึงขนาดเอาเป็นเอาตาย ...หรืออาจจะได้เห็นกันหลังจากยุบสภาให้มีเลือกตั้งใหม่ แต่ก็ต้องจัดการสถานการณ์ และเคลียร์กับม็อบพวกนี้ไปได้เสียก่อน .
**“ลุงตู่”ว่าไง!! เมื่อ ป.ป.ช.ตัดเกรด C ในเรื่องภาพรวมคุณธรรม ความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะอัยการคะแนนวูบ หลังถูกเปิดโปงคดี“บอส”
ในเมื่อเรามี “รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง” มีรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย ที่มาจากการเลือกตั้ง บริหารงานอย่างมีคุณธรรม จริยธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ แต่ทำไมผลการประเมินคุณธรรม และความโปร่งใส ถึงได้แค่ เกรด C ...“ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ได้ฟังแล้วอย่าตกใจอย่างเดียว แต่ต้องหาทางแก้ไขด้วย !!
ข้อมูลนี้ ออกมาจากปากของ “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. โดยเมื่อวานนี้ (28 ก.ย.) สำนักงานป.ป.ช. ได้จัดงาน “ITA DAY 2020 - Talks and Result Announcement” ก็มีการเสวนากันถึงเรื่องแนวทางป้องกันและปราบปรามการทุจริต
โอกาสนี้ ประธาน ป.ป.ช. ก็ได้ประกาศผลการประเมินคุณธรรม และความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ประจำปีงบประมาณ 2563 โดยสำรวจตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐกว่า 8 พันหน่วยงาน คนไทยทั่วประเทศกว่า 1.3 ล้านคน ช่วยกันประเมิน ... ปรากฏว่า คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 67.90 คะแนน คือได้ เกรด C
หน่วยงานที่ได้คะแนนสูงสุด คือ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้คะแนน 99.60 ส่วนคะแนนต่ำสุด คือ อบต.สะอาด จ.ร้อยเอ็ด ได้ 28.16 คะแนน...เมื่อดูในระดับยอดปิรามิด ที่ได้ 80 คะแนนขึ้นไปของหน่วยงานทั้งหมด มีเพียงร้อยละ 13.19 เท่านั้น ... เมื่อจำแนกตามประเภทหน่วยงาน พบว่า ประเภทองค์กรศาลได้ 91.41 คะแนน ระดับ A องค์กรอิสระ ได้ 89.44 คะแนน ระดับ A หน่วยงานในสังกัดรัฐสภา ได้ 93.06 คะแนน ระดับ A ประเภทกรมหรือเทียบเท่า 85.59 คะแนน ระดับ A ประเภทรัฐวิสาหกิจ ได้ 85.60 คะแนน ระดับ A กลุ่มสถาบันอุดมศึกษา ได้ 87.46 คะแนน ระดับ A กลุ่มองค์กรมหาชน ได้ 85.02 คะแนน ระดับ B ประเภทหน่วยงานของรัฐอื่นๆได้ 83.47 คะแนน ระดับ B ประเภทกองทุนได้ 83.42 คะแนน ระดับ B
ที่น่าสนใจคือ “องค์กรอัยการ” ซึ่งอยู่ในกระบวนการยุติธรรมขั้นกลาง ที่ควรจะมีคุณธรรม ความโปร่งใส สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ ควรจะอยู่ในระดับเกรด A หรืออย่างน้อยก็ เกรด B... แต่เมื่อมีกรณี สั่งไม่ฟ้อง “บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทกระทิงแดง แบบค้านสายตาคนทั้งประเทศ ผลการประเมินจึงได้เพียง 71.30 คะแนน อยู่ใน เกรด C เท่านั้น !!
เมื่อดูตามกลุ่มหน่วยงานใน “ส่วนกลาง” เปรียบเทียบกับ “ส่วนภูมิภาค” จะเห็นความแตกต่างค่อนข้างชัด ...โดยหน่วยงานส่วนกลางค่าประเมินจะอยู่ในระดับกลางไปถึงระดับสูง ขณะที่หน่วยงานในภูมิภาคและหน่วยงานท้องถิ่น จะอยู่ในระดับกลางไปถึงต่ำ ... และมีหน่วยงานที่ “สอบตก” ได้เกรด F ถึง 499 หน่วยงาน
ITA ชี้ว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะหน่วยงานภาครัฐ ยังมีจุดอ่อนเรื่อง “การเปิดเผยข้อมูล” รวมทั้งการพัฒนา เรื่อง e-service ซึ่งตัดขั้นตอนที่ต้องผ่านเจ้าหน้าที่รัฐ และสามารถตรวจสอบได้ง่ายกว่า แต่ที่ผ่านมา ภาครัฐเพิ่งทำระบบ e-service ได้เพียง1,522 หน่วยงานเท่านั้น... นอกจากนี้ ยังพบว่า การเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และสร้างการรับรู้ด้านการใช้จ่ายงบประมาณ การตรวจสอบยังไม่มากพอ หากเปิดเผยข้อมูลตรงจุดนี้ได้การรั่วไหลก็จะลดลง รวมทั้งปัญหาเจ้าหน้าที่รัฐ ยังไม่มั่นใจในการจัดการเรื่องร้องเรียนการทุจริตในหน่วยงาน เพราะอาจ “เจอตอ” ได้
อย่างไรก็ตาม ยังมีพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงแนวโน้มในเชิงบวก เช่น การรับสินบนมีแนวโน้มลดลง หน่วยงานภาครัฐเคร่งครัดต่อการเบิกจ่ายงบประมาณที่ถูกต้อง ผู้บังคับบัญชาหรือผู้บริหารสั่งการให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องลดลง การเอาทรัพย์สินของราชการไปเป็นของส่วนตัวลดลง
จากการประเมินครั้งนี้ น่าเป็นห่วงที่ภาพรวมการทำงานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ อยู่ในระดับ เกรด C ที่สำคัญคือ ในระดับภูมิภาค และย่อยลงไปถึงระดับท้องถิ่น ที่ถือว่าอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด กลับมีคะแนนอยู่ในระดับ C ลงไปถึง F ... เป็นการบ่งบอกว่า ยิ่งหน่วยงานใกล้ชิดประชาชน ยิ่งไม่โปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ ...จุดนี้อาจเป็นเพราะที่ผ่านมา ในระดับท้องถิ่นห่างเหินจากการเลือกตั้งมานานหลายปี ประชาชนไม่มีอำนาจต่อรอง เจ้าหน้าที่รัฐยังคงมีอิทธิพลที่จะให้คุณ ให้โทษกับประชาชนได้
ปัญหาเหล่านี้ ในวงเสวนา เสนอว่า การเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐ คือ หัวใจสำคัญ ต้องพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัล ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนช่วยในการตรวจสอบ ซึ่งก็ตรงกับหลักการที่ว่า ประเทศใดที่มีประชาธิปไตยสูง ภาพลักษณ์ในเรื่องการคอร์รัปชัน ก็จะดีขึ้น...
...หรือเป็นเพราะว่า “รัฐบาลลุงตู่” แม้จะเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย แต่การบริหารงานยังเป็นระบบ “รัฐราชการ” ที่ข้าราชการยังคงมีอำนาจเหนือประชาชน ผลการประเมินจึงสะท้อนออกมาอย่างนี้ !!