“เพนกวิน” ไม่กลัวถูกร้องเอาผิด ม.112 ท้าทายยังศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ในรัชกาลนี้ “ซินแสเข่ง” ยกโหราศาสตร์ชี้ ปักหมุดสนามหลวง “ลบหลู่” เป็นอัปมงคลเข้าตัว ปชช.เดือดร้อน “ติ๊งต่าง” จวก หัวหงอกหลอกเด็ก “หมอวรงค์” ให้ม็อบมุ้งมิ้ง 7 ข้อ
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (22 ก.ย. 63) เฟซบุ๊ก เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ Parit Chiwarak ของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำม็อบ 19 กันยาฯ โพสต์ข้อความระบุว่า
“หมอตุลย์” (นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์) แจ้งความเอาผิดข้อหาหมิ่นสถาบันฯ ตามกฎหมายอาญา ม.112 กับพวกผมสามคนนั้น ก็เป็นการดีครับ จะได้รู้กันว่า ข้อหานี้ยังศักดิ์สิทธิ์อยู่หรือไม่ในรัชกาลนี้
ทั้งนี้ เนื่องมาจากการขึ้นเวทีปราศรัยในการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 ก.ย.นั่นเอง
ขณะเดียวกัน นายชนม์ทรรศน์ ฤทัยผ่อง หรือ “ซินแสเข่ง” หมอดูเข็มทิศทองคำและผู้อำนวยการสถาบันโหราศาสตร์พยากรณ์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า
ได้วิเคราะห์ดวงเหตุกลุ่มแกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ที่ทำพิธีปักหมุดคณะราษฎร 2653 เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 63 รวมทั้งมีการประกอบพิธีกรรมสาปแช่งที่ท้องสนามหลวงนั้น
เสี่ยงต่อการทำให้แผ่นดินวิบัติ เกิดความหายนะตกกับประชาชน เนื่องจากการทำพิธีใช้ฤกษ์ยามตกดวงมรณะดิถีกาลกิณีปะทะเป็นอัปมงคลแผ่นดินในสถานโบราณที่เป็นการลบหลู่บรรพบุรุษของแผ่นดิน
ซินแสเข่ง ระบุว่า การถือฤกษ์ยามพิธีเป็นสิ่งสำคัญ แต่ฤกษ์ยามที่เป็นอัปมงคลทั้งดิถีเวลายามในการประกอบพิธีปักหมุดตกดวงมรณะ จะทำให้เกิดเหตุอาเพศให้กับบ้านเมือง รวมทั้งผู้ดำเนินพิธีกรรมกระทำการที่ไม่ถูกต้องตามประเพณี ถือว่าลบหลู่ เพราะการประกอบพิธีต้องใช้ผู้ที่มีความรู้ในศาสตร์และขั้นตอน มีการขอขมาเจ้าที่เจ้าทางที่เฝ้าดูแลโบราณสถานสนามหลวง ผู้เป็นเจ้าพิธีต้องเป็นพราหมณ์ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพราหมณ์หลวง หรือพราหมณ์ผู้มีบารมีในการประกอบพิธีในโบราณสถาน ตลอดจนเครื่องเซ่นไหว้ที่ถูกต้องในการประกอบพิธี มิฉะนั้น ถือว่าเป็นการหมิ่นต่อสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่จะทำให้ผู้ทำพิธี และผู้ร่วมพิธีมีอันเป็นไป
“ถ้าใช้ฤกษ์ยามผิด ก็เหมือนกินยาพิษเข้าไปไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ แทนที่จะสาปแช่งให้คนอื่นตาย กลับตัวเองต้องมีอันเป็นไปตายก่อนคนอื่นที่ถูกสาปแช่ง การทำพิธีที่ไม่ถูกต้อง ใช้ฤกษ์ยามไม่ดี มันจะมีผลเข้าผู้ทำพิธีมากกว่าคนที่จะมีอันเป็นไป รวมทั้งทำในเทวสถานหรือโบราณสถานของแผ่นดิน ประชาชนในแผ่นดินจะรับกรรมที่เขากระทำกันอย่างไม่ถูกต้องในพิธี”
นายชนม์ทรรศน์ เผยว่า การชุมนุมประท้วง ถ้าหากชุมนุมกันอย่างปกติ ก็ไม่มีผลต่อเหตุที่จะเกิดขึ้น แต่หากใช้เป็นพิธีกรรมในการประกอบพิธีอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ต้องให้รอบคอบทั้งคนเป็นเจ้าภาพ คนร่วมพิธี และประชาชนคนทั้งแผ่นดินที่จะต้องรับผล (จากไทยโพสต์ออนไลน์)
นอกจากนี้ เฟซบุ๊ก Kanjanee Valyasevi ของ นางกาญจนี วัลยะเสวี หรือ “ติ๊งต่าง” เจ้าของฉายาไฮโซสปอร์ตคลับ และแกนนำกลุ่มชาวไทยหัวใจรักสงบ ที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความระบุว่า
“พวกผู้ใหญ่ที่เทิดทูนหมุดคณะราษฎร และไปเสี้ยมเยาวชนให้คล้อยตามว่า “หมุด” หมายถึง ประชาธิปไตย เป็นการสร้างความเข้าใจผิด ทำเพื่อต้องการดีสเครดิต คสช. เสียมากกว่า
ต้องบอกเยาวชนว่า คณะราษฎรทำการยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์ เพื่อให้พวกตนได้เสวยสุขต่างหาก เมื่อตกลงผลประโยชน์กันไม่ได้ ก็ปฏิวัติกันเอง ผลัดกันขึ้นมาครองอำนาจ ทั้งๆ ที่พระเจ้าอยู่หัวได้วางแผนจะให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ด้วยการส่งคนไทยจำนวนหนึ่งไปศึกษาในต่างประเทศ เพื่อนำความเจริญมาพัฒนา ปชช. คณะราษฎรกระทำการเหิมเกริมต่างๆ นานาต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ด้วยการส่ง จม.ไปข่มขู่พระองค์ ว่า ถ้าไม่เสด็จฯกลับจากไกลกังวล จะทำร้าย ปชช.และพระบรมวงศานุวงศ์
ปัจจุบันบ้านเมืองก็เป็นประชาธิปไตย แต่เหตุการณ์ยึดอำนาจของ คสช. ก็เพราะเวลานั้นบ้านเมืองมันไปต่อไม่ได้
แต่ คสช. ก็สมควรถูกตำหนิตรงที่กระทำการสืบทอดอำนาจ หรือพูดให้ฟังง่ายๆ คือ อยู่นานเกินไป”
ด้าน เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี โพสต์ข้อความ ระบุว่า
หลังจากผ่านยกแรก นั่นคือ 19 และ 20 กันยายน ที่ผ่านมา ฝ่ายเผด็จการมุ้งมิ้งเพลี่ยงพล้ำอย่างไม่เป็นท่า แต่ก็ยังตะโกนว่า “เราชนะแล้ว” ท่ามกลางความงงของประชาชน สาเหตุของความล้มเหลวคือ
1. จากข้อเรียกร้องสามข้อทางการเมือง กลายเป็นมุ่งล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งประชาชนไม่เอาด้วย
2. สถาบันพระมหากษัตริย์ ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย จึงมีปฏิกิริยาคัดค้าน แสดงออกมาจำนวนมาก
3. รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ไม่ได้กระทำในสิ่งที่เลวร้าย ชัดเจนเหมือนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และ ทักษิณ ที่ประชาชนต้องออกมาขับไล่
4. แกนนำผู้ชุมนุม ประเมินสถานการณ์ผิดพลาด ถูกกระแสโซเชียลหลอกตัวเองว่า ทุกอย่างสุกงอม แต่ความจริงไม่ใช่ ทำให้นักศึกษาและประชาชนไม่ออกมา ส่วนใหญ่เป็นมวลชนจัดตั้งของพรรคการเมือง
5. แกนนำเจ้าของความคิด 1 หญิง 2 ชาย ยังไม่กล้าขึ้นเวที แต่ปล่อยให้แกนนำหุ่นเชิดขึ้น ทำให้ไม่มีความเชื่อมั่น
6. กิจกรรมที่จัด ออกไปในรูปของอีเวนต์ เช่น การปักหมุด ดูแล้วไม่มีความน่าเชื่อถือ กลายเป็นสิ่งตลกทางโซเชียล
7. สังคมไทยมองว่า มีการชักศึกเข้าบ้าน สมคบกับประเทศตะวันตก
เหตุผลที่กล่าว จึงนำไปสู่ความล้มเหลวของการจัดการชุมนุม 19-20 กันยายน ที่ผ่านมา
แต่กิจกรรมยกสองกำลังจะเริ่ม นั่นคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยการตั้ง ส.ส.ร. โดยอ้างอิงรัฐธรรมนูญปี 2540 เพื่อให้ระบอบทักษิณฟื้นคืนชีพ และนำไปสู่เผด็จการรัฐสภา
กลุ่มไทยภักดี ยืนยันถึงสิทธิของประชาชน 16.8 ล้านเสียง ที่ผ่านประชามติ และสถาปนารัฐธรรมนูญปี 2560 ขึ้นมา
จึงขอเชิญชวนประชาชน มาร่วมส่งมอบรายชื่อ 130,000 รายชื่อ เพื่อเป็นตัวแทนเสียงส่วนใหญ่ แสดงเจตนารมณ์คัดค้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
พบกัน 23 กันยายนนี้ เวลา 9.00 น.ที่หน้าอาคารรัฐสภาใหม่
#ถามประชาชนหรือยัง
#คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แน่นอน, ผลพวงจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 19-20 ก.ย.ไม่จบง่ายๆ รวมถึงจะมีการชุมนุมใหญ่อีกครั้ง เพื่อกดดันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ที่รัฐสภาอีกในวันที่ 24 ก.ย.ที่จะถึง
แต่บทเรียนที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่า แท้จริงแล้ว ม็อบไม่ได้ให้ความสำคัญต่อข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ หยุดคุกคามประชาชน แก้ไขรัฐธรรมนูญ และ ยุบสภา แต่อย่างใด หากแต่แท้จริงแล้วก็คือ ต้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสำคัญ
นี่เอง ด้านหนึ่ง กลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม ถือว่า ชนะแล้ว เพราะได้แสดงออกตามที่ตั้งใจ เป็นชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ แต่อีกด้านหนึ่ง ถือว่า เป็นการฆ่าตัวเองด้วยเช่นกัน เพราะไม่รู้ครั้งหน้าคนที่เคยมาร่วมยังจะมาอีกหรือไม่ เพราะเท่ากับเป็นการเอาคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นฐานใหญ่ของนักการเมือง มาทิ้งขว้าง เพราะความคาดหวังของแกนนำ กับ มวลชน มันคนละเรื่องนั่นเอง
แล้วก็สะท้อนให้เห็นคนที่เป็น “อีแอบ” อยู่เบื้องหลังด้วยว่า ไม่ได้สนใจที่จะแก้ปัญหาบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะแท้จริงแล้ว สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการ ก็คือ ปฏิรูปสถาบันฯเท่านั้นเอง จริงหรือไม่ ถ้าจะให้ยอมรับคงเป็นเรื่องยาก แต่ทุกอย่างย่อมรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้ว