6 อดีต กสม.แถลงการณ์ขอทุกฝ่ายเคารพสิทธิ์แสดงออกสันติ ชี้ รุ่นใหม่เคลื่อนไหวเป็นการท้าทายต่อค่านิยมรุ่นเก่า ต่อต้านคือทำลายคุณค่าอนาคตสังคมไทย อัด มธ.ไม่ควรผลักไสม็อบไปพื้นที่เสี่ยง แนะรัฐใช้หลักรัฐศาสตร์แก้ขัดแย้งแทน กม.คุกคามเห็นต่าง
วันนี้ (18 ก.ย.) 6 อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชน ประกอบด้วย นายวสันต์ พานิช นางสุนี ไชยรส น.ส.นัยนา สุภาพึ่ง นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ นางเตือนใจ ดีเทศน์ และ นางอังคณา นีละไพจิตร ออกแถลงการณ์ขอให้ทุกฝ่ายเคารพสิทธิในการแสดงออกอย่างสันติของประชาชน และให้ความคุ้มครองผู้ชุมนุมทุกคน โดยระบุว่า
ได้เฝ้าติดตามสถานการณ์การใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการแสดงออกอย่างสันติของประชาชนเพื่อเรียกร้องให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วม และการยุติการคุกคามประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐซึ่งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ นับตั้งแต่การชุมนุมวันที่ 18 ก.ค. 63 และล่าสุด ที่จะมีการชุมนุมใหญ่วันที่ 19 ก.ย. นี้ รู้สึกกังวลและห่วงใยต่อสถานการณ์ที่อาจนำไปสู่การเผชิญหน้ากัน เนื่องจากรัฐบาลไม่มีท่าทีชัดเจนในการพิจารณาข้อเสนอของกลุ่มนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชน
ขณะเดียวกัน พบมีการใช้กฎหมายเพื่อดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมและผู้เห็นต่างทางการเมืองเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งเห็นว่าสิทธิในการชุมนุมอย่างสงบ รวมถึงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิที่เกี่ยวข้องกับสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคนในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย และหลักการสำคัญในการคุ้มครองการชุมนุม คือ การรักษาชีวิตและความปลอดภัยของบุคคลทุกคนในที่ชุมนุม ซึ่งการชุมนุมในปัจจุบันถือเป็นการเคลื่อนไหวในมิติใหม่ของเยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนที่มิได้เกิดเฉพาะในประเทศไทย หากแต่เกิดขึ้นทั่วโลก แสดงให้เห็นถึงความท้าทายของคนรุ่นใหม่ต่อค่านิยมเชิงสังคมและวัฒนธรรมของคนรุ่นก่อน หากบรรดาผู้ใหญ่ไม่เข้าใจ หรือแสดงท่าทีต่อต้านก็เท่ากับเป็นการทำลายคุณค่าอนาคตของสังคมไทย
นอกจากนี้ เห็นว่า สถาบันการศึกษาจะต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนในการชุมนุม และเพื่อป้องกันผู้ไม่ประสงค์ดีที่อาจสร้างสถานการณ์ที่อาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงไม่ควรผลักไสให้ประชาชนออกไปอยู่ในพื้นที่สุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดอันตราย เพราะจะแสดงถึงความไม่รับผิดขอบของสถาบันการศึกษาในการคุ้มครองนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชนซึ่งแม้จะเป็นผู้ที่เห็นต่างจากรัฐบาลแต่เสียงทุกเสียงของประชาชนมีความสำคัญที่ต้องถูกรับฟัง
เพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และป้องกันความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น จึงมีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ควรหารือกับผู้จัดการชุมนุม และหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบเพื่อหาทางออกร่วมกันในการคุ้มครองผู้ชุมนุม และป้องกันการสร้างสถานการณ์จากผู้ไม่หวังดีที่อาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรง
ขอให้รัฐบาลใช้หลักรัฐศาสตร์ในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง แทนการใช้กฎหมายเพื่อคุกคามการใช้สิทธิเสรีภาพของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐ โดยเฉพาะการตั้งข้อกล่าวหาร้ายแรง และไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำของผู้ชุมนุม และควรปฏิบัติตามความเห็นทั่วไปของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนประจำกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (CCPR) ฉบับที่ 37 ตามข้อบทที่ 21 สิทธิในการชุมนุมโดยสงบ ขององค์การสหประชาชาติ (ICCPR) มาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ชุมนุม เช่น รัฐไม่ควรจะกล่าวอ้าง ความสงบเรียบร้อย” ซึ่งเป็นคำที่มีความคลุมเครือเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการจำกัดสิทธิในการชุมนุมโดยสงบอย่างกว้างขวาง และการห้ามก่อ “ความไม่สงบเรียบร้อย” ภายใต้กฎหมายภายในประเทศ ไม่ควรถูกใช้โดยมิชอบเพื่อจำกัดการชุมนุมโดยสงบ
รวมถึงการอ้างเหตุแห่งการจำกัดสิทธิเพื่อการคุ้มครองด้านสาธารณสุข มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย แต่เหตุดังกล่าวสามารถถูกใช้ ในกรณีที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดต่อและการชุมนุมรวมกลุ่มกันอาจก่อให้เกิดอันตราย การจำกัดสิทธิด้วยเหตุนี้ อาจยกขึ้นมาใช้ได้ในกรณีที่ร้ายแรงอย่างมากเมื่อสถานการณ์ด้านสุขอนามัยในระหว่างการชุมนุมอาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพต่อสาธารณชน หรือต่อตัวผู้ชุมนุมเอง
การใช้เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบในการชุมนุมจะต้องกระทำเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์อันจำเป็น และเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวจะต้องมิใช่ผู้ก่อให้เกิดความรุนแรง ก่อนที่จะมีการตรวจค้นหรือจับกุมใดๆ เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวจะต้องแสดงตนต่อผู้เกี่ยวข้อง
อีกทั้งรัฐสภาควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ประชาชนมีส่วนร่วม ตามที่ผู้แทนประชาชนได้แสดงเจตจำนงในการจะยื่นรายชื่อประชาชนกว่า 5 หมื่นรายชื่อต่อประธานรัฐสภาในวันที่ 22 ก.ย.นี้ ทั้งนี้ หวังอย่างยิ่งว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันหาทางออก โดยเสียงทุกเสียงของประชาชนจะต้องถูกรับฟัง และรัฐบาลควรตระหนักถึงการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองด้วยความยืดหยุ่น ผ่อนปรน และยึดหลักการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทุกฝ่าย ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางการเมืองของประเทศไทยที่เกิดจากประชาชนมีส่วนร่วมในการช่วยกันคิดช่วยกันสร้างและพัฒนาระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทยต่อไป