สภาพัฒน์ เคลียร์นโยบาย “โครงการคนละครึ่ง” จากเงินกู้ 4.5 หมื่นล้าน แจก ปชช.หัวละ 3 พัน 15 ล้านคน ย้ำยังอยู่ในขั้น ก.คลัง ต้องไปจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติม ทั้งคุณสมบัติจำนวนผู้รับสิทธิ์/ร้านค้าร่วมโครงการ/วงเงินค่าใช้จ่ายต่อวัน/ระบบการลงทะเบียน/ผู้ค้าหาบเร่ แผงลอย/รูปแบบการชำระเงิน ก่อนชง ศบศ.อีกรอบ
วันนี้ (7 ก.ย.) มีรายงานจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏเป็นกระแสข่าวที่รัฐบาลจะดำเนินการมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐผ่าน “โครงการคนละครึ่ง” ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) เห็นชอบในหลักการของกรอบแนวคิดโครงการในคราวประชุมเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2563 นั้น
สภาพัฒน์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการของ คณะกรรมการฯ ขอเรียนชี้แจงเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนี้
โครงการคนละครึ่งที่เสนอในการประชุมคณะกรรมการฯ ยังมีลักษณะเป็นกรอบกว้าง โดยกระทรวงการคลัง จะต้องไปจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติม อาทิ คุณสมบัติของประชาชนและร้านค้าที่จะสามารถเข้าร่วมโครงการ จำนวนประชาชนที่จะได้รับสิทธิ์ วงเงินค่าใช้จ่ายต่อวัน ระบบการลงทะเบียน
“กลไกในการช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกผู้ค้าที่เป็น หาบเร่ แผงลอย ให้สามารถเข้าร่วมโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ รูปแบบการชำระเงิน ซึ่งเมื่อกระทรวงการคลังจัดทำรายละเอียดโครงการที่มีความสมบูรณ์แล้ว จะนำเสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาตามขั้นตอนอีกครั้งหนึ่ง”
ดังนั้น ในช่วงระหว่างนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่กระทรวงการคลังยังจัดทำรายละเอียดโครงการ ให้มีความสมบูรณ์ ขอให้สื่อมวลชนและประชาชนรอความชัดเจนในรายละเอียดของโครงการดังกล่าว ภายหลังจากการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในครั้งต่อไป
สัปดาห์ที่แล้ว “ศบศ.” เห็นชอบมาตรการ “คนละครึ่ง” เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศวงเงิน 45,000 ล้านบาท ให้ประชาชน 15 ล้านคน ซึ่งตามนโยบายจะเป็นการแจกเงินให้คนละ 3,000 บาท เพื่อซื้อของกับผู้ค้ารายย่อย โดยผู้ที่เข้าร่วมโครงการ ต้องจ่ายเงินค่าสินค้าครึ่งหนึ่ง และรัฐบาลจะช่วยจ่ายอีกครึ่งของการใช้เงิน
ขณะที่มีข้อมูลจากสภาพัฒน์ ว่า ถ้าจะใช้เงินที่รัฐให้ 3,000 บาท ผู้เข้าร่วมโครงการต้องมีเงิน 3,000 บาท ใส่เข้าไปในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อเป็นช่องทางในการรับและจ่ายเงิน
โดยเบื้องต้นการใช้เงินจะถูกจำกัดไว้ที่วันละ 100-200 บาท และขณะนี้กำลังประเมินความเหมาะสมของจำนวนเงินต่อวันควรอยู่ที่เท่าใด โดยเงินที่รัฐบาลให้นั้น ต้องใช้หมดวันต่อวัน หากใช้ไม่หมดจะไม่สามารถเก็บไว้ใช้ในวันต่อไปได้ เช่น กำหนดให้ใช้วันละ 100 บาท ประชาชนต้องมีเงิน 50 บาท มาร่วมใช้จ่ายในแต่ละวันด้วย
นอกจากนี้ จะต้องนำไปใช้ในร้านค้ารายย่อย ที่ขึ้นทะเบียน “ถุงเงิน” ไว้กับธนาคารกรุงไทย อาทิ ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านอาหารตามสั่ง หาบเร่ แผงลอย เป็นต้น เพื่อให้เงินกระจายลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วง 3 เดือน ตั้งแต่ ต.ค.- ธ.ค. 2563
โดยตลอดโครงการจะมีเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 90,000 ล้านบาท และจะพยายามจัดทำรายละเอียดและเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ช่วงกลางเดือน ก.ย.นี้ เพื่อเปิดให้ลงทะเบียนทั้งร้านค้า และประชาชนที่จะเข้าร่วมโครงการผ่าน www.คนละครึ่ง.com ในวันที่ 1 ต.ค.นี้
ขณะที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นขณะนี้อยู่ในการพิจารณาว่า จะให้เข้าร่วมหรือไม่.