“ดร.นิว” จวก พวกสักแต่อ้าง “ประชาธิปไตย” เป็นเครื่องมือการเมือง จนหลงระเริงว่า “สิทธิเสรีภาพ” คือ “ทำอะไรก็ได้” อย่างกรณีนักร้องดังสาดสี “ละเมิด” ตำรวจ แกนนำ “แคร์” ไม่แคร์ใคร “โหว รักอะน้องคนนี้”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (28 ส.ค. 63) เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์หัวข้อ “#ประชาธิปไตยที่หลงทาง”
โดยระบุว่า “คำว่า “ประชาธิปไตย” ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองและมอมเมาสังคมไทยมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
ทำให้ความหมายที่แท้จริงของ “ประชาธิปไตย” ถูกบิดเบือน ผ่านการฟังและเชื่อตามๆ กันอย่างไร้เหตุผล ปราศจากกระบวนการคิดวิเคราะห์และการศึกษาเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่โซเชียลมีเดีย ถูกนำมาใช้ขยายผลการมอมเมาและครอบงำทางการเมือง
ไม่ว่าจะเป็น นายธนาธร, นายปิยบุตร, คุณช่อ, คณะก้าวหน้า, พรรคก้าวไกล หรือใครก็ตามที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย ต่างก็ไม่เคยทำความเข้าใจกับมวลชนของตัวเองเลยว่า นิยามของคำว่า “ประชาธิปไตย” จริงๆ แล้วคืออะไร?
มีแต่การแอบอ้างและโหนคำว่า “ประชาธิปไตย” เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง หลอกใช้มวลชนเป็นเครื่องมือด้วยความคิดตื้นเขินที่บิดเบือนผ่านโซเชียลมีเดีย โดยไม่ได้มีสาระที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนเลยแม้แต่นิดเดียว
หรือแม้แต่ในรั้วมหาวิทยาลัย ที่คณาจารย์นับร้อยที่มักออกมาหนุนเครือข่ายคณะก้าวหน้าและพรรคก้าวไกล เรื่อยมาจนถึงม็อบปลดแอกในปัจจุบัน ต่างก็ขาดความรู้ในการปฏิบัติประชาธิปไตยที่แท้จริง มีแต่ซ้ำเติมให้ความเข้าใจต่อประชาธิปไตยยิ่งหลงทางไปมากกว่าเดิม
จนนำพาให้สังคมและผู้คนกลุ่มหนึ่งหลงเข้าใจผิดไปว่า “สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก” คือ “สิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ” โดยไม่ได้คำนึงถึง “สิทธิเสรีภาพของผู้อื่น” และ “กฎหมาย”
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว “สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก” จะต้องอยู่บนพื้นฐานของ “ความรับผิดชอบ” เสมอ
โดย กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights หรือ ICCPR) ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 19(3) อย่างชัดเจนว่า การใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกจะต้องตามมาด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบ อยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย
1. ให้ความเคารพต่อสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีของผู้อื่น
2. ไม่ละเมิดต่อความมั่นคงของชาติ, ความสงบเรียบร้อยของสังคม, สาธารณสุข และศีลธรรมอันดีของประชาชน”
https://www.ohchr.org/en/professionalinterest/pages/ccpr.aspx
ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan โพสต์เปรียบเทียบให้เห็นถึงการใช้เหตุผลในทางประชาธิปไตย
พร้อมระบุข้อความว่า
“แบบไหนเจริญ แบบไหนต่ำตม คงแยกแยะได้ไม่ยากครับ”
พร้อมกับแชร์ความเห็นจาก “สติค่ะลูกกกก @satikaluk • บล็อกเกอร์” ด้วย
ที่ระบุว่า “บอกตามตรงว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้แม่งโคตรแย่เลยว่ะ
คือต้องแยกแยะด้วยว่า จะเกลียดจะชังรัฐบาลอะไรก็ว่าไป แต่ไม่ควรทำอะไรที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเช่นนี้ ชุดตัดใหม่เป็นพันๆ เงินเดือนเขาก็ไม่ได้เยอะ ลูกเมียก็ต้องใช้เงินดูแล ทำแบบนี้คือคุกคามคนอื่นหรือไม่วะ?
แล้วที่สำคัญ ทางออกของความขัดแย้งคือการหันหน้าคุยกันด้วยเหตุผลเว้ย ไม่ใช่จะเอาแต่อย่างที่ต้องการไม่ยอมเจรจากัน
#สติค่ะลูกกกก”
แต่อีกด้าน เฟซบุ๊ก Veeraporn Nitiprapha ของ นางวีรพร นิติประภา นักเขียนรางวัลซีไรต์ ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มแคร์ ก็ได้โพสต์ข้อความสั้นๆ โดยไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไรกับการกระทำนี้ ว่า “โหว รักอะน้องคนนี้”
สำหรับน้องคนนี้ที่ นางวีรพร ชื่นชมคือ นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ แอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์ นักร้อง นักแต่งเพลง สมาชิกวงดนตรีเดอะบอตทอมบลูส์ ที่สาดสีน้ำเงิน ใส่ตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ ระหว่างที่ผู้ต้องหาคดีเวทีชุมนุมเยาวชนปลดแอก เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา มารายงานตัวตามหมายเรียก โดยอ้างว่า เป็นการตอบโต้ที่ประชาชนถูกป้ายสีมามากแล้ว พร้อมประกาศ หากยังคุกคามประชาชนอยู่ จะคุกคามคืนด้วยศิลปะเช่นนี้อีก
อย่างไรก็ตาม การกระทำของ แอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง แม้กระทั่งในกลุ่มผู้สนับสนุนม็อบนักศึกษาเอง ต่างมองว่า ไม่เหมาะสม และทำให้การเคลื่อนไหวของนักศึกษาด่างพร้อย ทำลายความชอบธรรมในการเคลื่อนไหว
ทั้งนี้ นางวีรพร ร่วมก่อตั้งกลุ่มแคร์ กับ นายภูมิธรรม เวชยชัย, นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล, นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ที่แตกออกมาจากพรรคเพื่อไทย (จากไทยโพสต์ออนไลน์)
แน่นอน, ประเด็นของเรื่องนี้ ทำให้น่าคิดวิเคราะห์อย่างสูงว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศไทยเวลานี้ คืออะไรกันแน่? เพราะดูเหมือน ผสมโรงกันไปหมด ทั้งพลังบริสุทธิ์ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พลังแอบแฝงล้มเจ้า จนประชาชนแยกไม่ออก เชื่อว่า พวกเดียวกันบางคนก็แยกไม่ออก ว่าตัวเองไปอยู่ที่นั่น ตกลงเขาพาไปทางไหน?
ขณะเดียวกัน รูปแบบการต่อสู้เรียกร้อง ที่พยายามสร้างแนวร่วมด้วยวิธีล่าแม่มดผู้เห็นต่าง หรือ ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง โดยเฉพาะการกระทำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่รักษากฎหมาย ก็ดูเหมือนจะเกินกว่าเหตุ หรือขาดไร้ซึ่งเหตุผล อันพอดีพองาม และใช้วิจารณญาณถึงความเดือดร้อน และผลเสียที่จะตามมา อย่างที่หลายคนพูดถึง ค่าตัดเครื่องแบบตำรวจใหม่ ซึ่งจะทำให้ตำรวจชั้นผู้น้อยเดือดร้อน เพียงเพราะเขาปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น
นี่คือ ปัญหาที่ทำให้การเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเรื่องสร้างสรรค์ กลายเป็นการแสดงออกไปในทางเกลียดชัง ขัดแย้ง แบ่งแยก ทั้งที่เป็นคนไทยด้วยกัน
และถ้ายังขืนเป็นอยู่เช่นนี้ ก็จงนับถอยหลังวัน “เสื่อม” ลงกับตาของประชาชน ในไม่ช้าไม่นานได้เลย ไม่เชื่อคอยดู!!!