“บิ๊กตู่” ระบุจัดซื้อเรือดำน้ำ จำเป็นด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคง ดักทาง กมธ.งบฯ พรรคร่วม รบ.นั่งครบ สุดแล้วแต่พิจารณา อนาคตเกิดไรขึ้นต้องรับผิดชอบร่วมกัน ลั่น อย่าเอาชนะทางการเมือง จนแผ่นดินลุกเป็นไฟ กระทุ้งความจำ นายกฯ เผด็จการเข้ามาเพราะอะไร ให้คำมั่น ตน-รัฐบาล ต้องไม่ทุจริต พ้อทำสุดกำลังสติปัญญาแล้ว
วันนี้ (26 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.50 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคประชาธิปัตย์ ให้กรรมาธิการเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 จำนวน 7 คน ของพรรคลงมติไม่เห็นชอบให้จัดซื้อเรือดำน้ำในคณะชั้นกรรมาธิการ ว่า นึกอยู่แล้วว่าสื่อต้องถามเรื่องเรือดำน้ำ เป็นเรื่องของกรรมาธิการที่อยู่ระหว่างการพิจารณา ส่วนกรณีที่พรรคร่วมรัฐบาลมีความเห็นต่างในจัดการซื้อนั้น ไม่รู้ เป็นเรื่องของพรรคที่จะว่ากันไป แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับคณะกรรมาธิการจะว่าอย่างไร ซึ่งมีหลายพรรคร่วมอยู่ สิ่งสำคัญสุดได้อธิบายไปหมดแล้วถึงความจำเป็น หลักการและเหตุผล งบประมาณที่จัดซื้อก็เป็นของกองทัพเรือ และเราได้แก้ปัญหาปี 63 ไว้แล้วส่วนหนึ่ง ฉะนั้น โครงการอะไรก็ตามที่เป็นโครงการต่อเนื่อง มีความจำเป็นหรือไม่ จำเป็นอย่างไร จะได้หรือไม่ได้ ขึ้นอยู่กับคณะกรรมาธิการฯที่จะพิจารณา
“แต่ในความรู้สึกส่วนตัวผมคิดว่าอะไรก็ตามที่จะต้องสร้างความมั่นคงปลอดภัยของพวกเรา ตรงนี้ไม่ใช่เพื่อใครทั้งสิ้น แต่เพื่อประเทศไทยและคนไทย ทรัพยากรของชาติ ของแผ่นดิน จะทำอย่างไร และโลกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด ความขัดแย้งอะไรต่างๆ มีเยอะหรือไม่ ไม่ได้มีไว้ไปรบหรือสู้กับใคร แต่เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์ คงเข้าใจกันว่ามันเป็นอย่างไร ข้อสำคัญ งบประมาณเป็นของกองทัพเรือ เป็นงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ฉะนั้น สุดแล้วแต่กรรมาธิการจะพิจารณาออกมาอย่างไร วันหน้าทุกคนก็ต้องรับผิดชอบด้วยกันทั้งหมด หากเกิดอะไรขึ้น คงไม่ใช่เฉพาะผมคนเดียว เป็นเรื่องมติของคนหลายคน หลายพรรคด้วยกัน ก็สุดแล้วแต่” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะกระทบความสัมพันธ์พรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าการทำงานของพรรคร่วมรัฐบาลเป็นไปด้วยดี อย่ายกเรื่องนี้มาเป็นประเด็น เป็นเรื่องภายในที่จะต้องบริหารกันเองให้ได้ พรรคร่วมรัฐบาลต้องคุยกัน ก็สุดแล้วแต่ ตนไม่พูดตรงนี้ โอเคนะ
“วันนี้เรื่องภาษี เราก็ไม่ได้ไปเร่งรัดกับใคร หลายคนก็ขอโน้นขอนี่ แล้วผมจะเอารายได้มาจากที่ไหน ขอถามสื่อว่ารู้หรือไม่ รายได้ประเทศมาจากไหน รู้ทุกคนแหละ ประชาชนบางคนรู้ แต่บางคนก็ไม่รู้ หรือรู้น้อย ผมไม่ได้โทษเขา มันอยู่ที่สื่อ แต่ก็ไม่ได้โทษสื่อที่อยู่ตรงนี้ ผมพูดเยอะก็หาว่าพูดเยอะ แต่ถ้าไม่พูดก็ไม่มีใครพูด เพราะทุกคนอาจจะกลัวบ้างอะไรบ้าง ไม่กล้าพูด แต่ผมไม่กลัว จะพูดให้ประชาชนเข้าใจ จะว่าอะไรผมก็ต้องอดทนทุกเรื่อง ซึ่งอดทนมาเยอะ เพื่อใคร เพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชนของเรา ถ้าผมไม่ทำแล้วจะทำกันเมื่อไร จะรอวันหน้าก็ใช่ จะเปลี่ยนรัฐบาลหรือเลือกตั้งใหม่อะไรก็แล้วแต่ ถามว่ากว่าจะถึงเวลานั้นเวลานี้มันจะตายกันหมดหรือเปล่า ใช่หรือไม่ มันจะไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ จนกว่าจะถึงวันนั้น ทำวันนี้ให้ดีเพื่อวันข้างหน้าจะไม่ดีกว่าหรือ ต้องเริ่มอย่างนี้ ค่อยๆ ไป แล้วเดี๋ยวมันก็ไปของมันเอง ประเทศไทยเราผ่านร้อนผ่านหนาวมาตั้งเยอะแยะ ข้อสำคัญคือ ความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ เอานู่นมาตีกันไปมาจนล้มไปหมดทั้งระบบ มันได้หรือไม่” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้มาดูเรื่องงบประมาณฝ่ายความมั่นคงกันอีกเป็นหลัก เพื่ออะไรก็แล้วแต่ตนไม่รู้ความตั้งใจของท่าน ตนไม่พูด แต่สิ่งสำคัญที่สุดงบประมาณกระทรวงอื่นท่านก็ตัดของเขาอีก ทั้งที่กระทรวงเหล่านั้นเขาดูแลประชาชนใช่หรือไม่ ไปตัดของเขา ทำไมไม่ให้ความสำคัญบ้าง งบหลายกระทรวงแล้วก็มาจ้องงบนี้เข้าไปด้วย สรุปว่าประเทศเดินหน้าไม่ได้ทั้งหมด แล้วรู้หรือไม่งบประมาณตัดแล้วไปไหน จะเอาไปทำอย่างอื่นได้หรือไม่ กฎหมายเขียนว่าอย่างไร มันก็ตกหมด ไม่ใช่ว่าจะมาอยู่งบกลางได้ หรือไม่ก็ต้องไปทำโครงการของเจ้ากระทรวงเดิมที่ผ่านมานำขึ้นมา เข้าใจตรงนี้กันเสียบ้าง ส่วนเรื่องการทุจริต โปร่งใส ก็ติดตามทำอย่างเต็มที่ ตนยืนยันไม่มีนโยบายทุจริตกับใครทั้งสิ้น พรรคร่วมรัฐบาลเราก็ประกาศเจตนารมณ์ไปแล้วว่าจะต้องไม่มีการทุจริต จะต้องทำให้ได้ เรื่องกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมตนก็ทำให้ เรื่องไหนที่เป็นประเด็นสำคัญ ในเรื่องคดีต่างๆ ตนก็คุยกับคณะกรรมการชุดนายวิชา มหาคุณ มาตลอดทุกวัน ว่า พิจารณาไปถึงไหนอย่างไร แล้วจะทำอย่างไรกับคดีนี้ ปัญหาไม่ใช่แค่ตรงนี้ แต่อยู่ที่กฎระเบียบกติกา กฎหมายหลายตัว ที่ทำอย่างนี้ออกมาได้ ซึ่งก็ต้องไปแก้กฎหมาย จึงต้องตั้งคณะทำงานทำต่อในเรื่องปฏิรูปกฎหมาย จะทำอย่างไร จะร้องหรือจะเรียกพยานใหม่ กฎหมายเดิมกำหนดไว้แล้วทั้งสิ้น นั่นคือ จุดอ่อนที่ต้องแก้ นี่คือแก้ไขกฎหมายเพื่อขจัดปัญหา ปลดล็อกอุปสรรคต่างๆ
“ผมเรียนว่าที่ผ่านมา หลายคนมองว่าผมมาแบบนี้ แบบเผด็จการ อะไรต่างๆ มันต้องมองย้อนกลับไป ผมไม่อยากจะพูดทบทวน ไม่ได้อยากให้ทุกคนถือว่าเป็นบุญคุณ มันไม่ใช่ ผมเห็นชาติเป็นอย่างนี้ ไม่ปลอดภัย ผมก็ต้องเข้ามา แล้ววันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น ท่านลืมหมดแล้วหรืออย่างไร ลืมกันหรือยัง ลืมหมดแล้วหรือ ผมเข้ามาด้วยอะไร เพราะอะไร ทำไมถึงต้องเข้ามา อย่าลืมสิ แล้ววันนี้สิ่งที่ผมทำมีความก้าวหน้าบ้างหรือไม่ หลายๆ อย่างดีขึ้นมาโดยตลอด เป็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคใหม่ 4.0 แล้วใครเป็นคนทำ ผมเป็นคนทำมาทั้งนั้น 4.0 ที่ว่ามานี้ นโยบาย ยุทธศาสตร์ เดินหน้ามาตามกรอบกติกาจนถึงวันนี้ ถ้าไม่ทำวันนั้น วันนี้ก็ไม่เกิด เพราะมัวสาละวนแก้ปัญหาอยู่อย่างนี้ การเมืองบ้าง อะไรบ้าง แต่ตัวผมไม่มีการเมือง แต่ก็ต้องทำงานร่วมกับการเมืองเขา ฉะนั้น ก็ต้องไปด้วยกันให้ได้ ประเทศไทยเราเป็นประชาธิปไตยที่มีรูปแบบของเรา เราไม่ได้มีจากที่อื่น ทำไมต้องทำเหมือนคนอื่นเขาหมด แล้วความเป็นไทยของเราหายไปไหน ถ้าจะเอาชนะคะคานทางการเมือง ผมว่าประเทศชาติมันล่มสลาย ถ้ามันเกิดอย่างนั้นจริง ก็รอดูก็แล้วกัน แล้วทุกคนจะต้องอยู่บนแผ่นดินนี้ที่ร้อนระอุลุกเป็นไฟ ก็ว่ากันไปแล้วกัน ผมก็สุดกำลังสติปัญญาของผมแล้ว ถ้าจะถึงตอนนั้นอีกก็ โอเคนะ” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า ดูเหมือนนายกฯไม่ค่อยสบาย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เหนื่อยสิ ทำงานติดต่อกันหลายวัน