เลขาฯ องค์การพิทักษ์ รธน.ไม่พลาด ยื่นคำร้อง ป.ป.ช.สอบอนุ กมธ.งบฯ ไถเงิน 5-10 ล้าน โทษร้ายแรงถึงไล่ออกจาก ส.ส. เชื่อเรื่องจริง วอนนายกฯ ตั้งกรรมการตรวจสอบ สร้างความมั่นใจนักลงทุนและภาพลักษณ์ประเทศ
วันนี้ (10 ส.ค.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.เพื่อให้ดำเนินการไต่สวนและสอบสวนอนุกรรมาธิการงบประมาณ ทั้ง 8 ชุด ที่เกี่ยวข้องกับการไถเงินอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลและอธิบดีกรมต่างๆ ที่ต้องมาชี้แจงการใช้งบประมาณแผ่นดินในแต่ละปี จนเกิดปัญหาขึ้น เนื่องจากอนุกรรมาธิการงบฯ ไม่ยอมปล่อยผ่านงบประมาณให้ จนทำให้นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เปิดเผยว่า มีอนุกรรมาธิการฯ ไปเรียกรับผลประโยชน์ หรือพยายามไปไถเงิน 5 ล้านบาท และหลายคนก็บอกว่าอาจจะมีถึง 10 ล้านบาท เพื่อแลกกับการผ่านงบประมาณ ถ้าเป็นเรื่องจริงถือว่าเลวร้ายมาก สำหรับการเมืองการปกครองของบ้านเรา การตบทรัพย์ในลักษณะนี้เป็นเรื่องที่น่าละอาย ไม่น่าเกิดขึ้นในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย เรื่องเหล่านี้กระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ความเชื่อมั่นของนักลงทุน เพราะว่าถ้าเข้ามาแล้วแล้วมาเจอระบบราชการที่มีพฤติการณ์คอร์รัปชัน มีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง
เรื่องนี้เป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของ ป.ป.ช.ที่จะต้องเรียกบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล มาชี้ข้อมูลว่ามีอนุกรรมการคนใด หรือ ส.ส.คนใดใช้พฤติการณ์โทรศัพท์ไปเรียกรับผลประโยชน์เหล่านี้ เพราะผิดรัฐธรรมนูญ และประมวลจริยธรรมอย่างรุนแรง และโทษสูงสุดไล่ออกจาการเป็น ส.ส. และไม่เรื่องยากที่ ป.ป.ช.จะแสวงหาข้อเท็จจริง เพราะสามารถเรียกเอกสารที่เกี่ยวข้องกับบันทึกการประชุมมาตรวจได้เลยว่ามี ส.ส.คนไหนพยายามตั้งคำถาม พยายามไล่บี้อธิบดีต่างๆ ก็จะรู้เลยว่าบุคคลคนนั้นอาจจะเข้าข่าย
“และถ้าเรียกอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลมาให้ข้อมูล และอาจเรียกคุณศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ ส.ส.อุตรดิตถ์ พรรคเพื่อไทย มาให้ข้อมูลด้วย เพราะออกมาแฉ ยอมรับว่ามีพฤติการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นจริงของคณะอนุกรรมาธิการงบฯ ซึ่งคณะอนุกรรมาธิการการงบฯ มี 7-8 คณะ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลไม่ได้ระบุว่าเป็นคณะไหน แต่ผมเชื่อว่าอาจจะทุกคณะเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้น ป.ป.ช.มีอำนาจเรียกทุกคณะมาสอบสวน” นายศรีสุวรรณกล่าว
หลังมีข่าวดังกล่าวก็มีความพยายาม ถ้าไม่มีเรื่องจริง ไม่มีเหตุจะมีข้อมูลเหล่านี้ออกมาได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เรื่องจริง คนที่พูดก็มีความผิดในการแพร่เผยข่าวอันเป็นเท็จต่อกรรมาธิการ แต่ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แม้พยายามจะล็อบบี้กันอย่างไรก็แล้วแต่ เรื่องนี้เป็นผลประโยชน์ต่อสังคม ไม่ควรหยุดหรือเก็บเรื่องนี้เงียบไว้ ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีที่ระบุว่าจะปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน เรื่องนี้เป็นเรื่องในสภา ท่านเป็นผู้นำฝ่ายบริหารน่าจะตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้ ไม่ใช่ปล่อยให้คณะกรรมการในสภาตรวจสอบกันเองซึ่งจะเป็นการลูบหน้าปะจมูก
“หากนายกฯ ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 11 อนุมาตรา 6 ในการตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้ ทั้งทางตรงและทางลับจะทำให้เกิดความโปร่งใส มีธรรมาภิบาล และภาพลักษณ์ของประเทศจะกลับคืนมาได้ หากนำตัวคนทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมายได้”