ส.ส.ก้าวไกล แถลงอัดอัยการ-สตช.ใช้แท็กติกปล่อย “บอส วิทยา” หลุดคดี จี้แจงเหตุผลสังคม ตอกย้ำปฏิรูปกระบวนการสอบสวน รับผิดหวังทั้งที่มั่นใจไม่รอดเพราะหลักฐานชัด เรียกหาความละอาย-รับผิดชอบสังคมจากคนรวย หลังเหนียวค่าเยียวยาเหยื่อ
วันนี้ (24 ก.ค.) พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล แถลงข่าวกรณีอัยการไม่สั่งฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ทุกข้อกล่าวหาในคดีขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อปี 2555 โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้ไม่มีความเห็นแย้งว่า เป็นคดีที่น่าสนใจในเชิงความเห็นของนโยบายและการทำนโยบายในการดำเนินคดี โดยเฉพาะการปฏิรูปตำรวจที่จะต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างไร สำหรับความเห็นของคดีดังกล่าวไม่ขอก้าวล่วง แต่ในเชิงสังคม คนที่หลบหนีอยู่รอด เพราะมีทุนทรัพย์สูง มีฐานะไม่ธรรมดา จึงทำให้คดีนี้เป็นที่น่าติดตาม หากมีการสั่งฟ้องเร็วและติดตามได้ตัวผู้ต้องหามาอย่างรวดเร็ว มีการสอบสวนครบถ้วน คดีนี้จะครบห่วงโซ่เวลาอย่างชัดเจน แต่ถ้าทอดระยะเวลานานจนเกินไป มีการใช้แท็กติกรูปแบบเสริมทำให้พยานหลักฐานนั้นจางลงทำห่วงโซ่นั้นไม่สามารถเกาะเกี่ยวกันได้ ดังนั้นมันเป็นฝีมือของพนักงานสอบสวนที่จะหาพยานหลักฐานต่างๆ ให้ได้มาก
“การปฏิรูปตำรวจครั้งใหญ่ คือ การปฏิรูปกระบวนการสอบสวนที่จะทำให้พนักงานสอบสวนมีเครื่องมือสามารถเก็บพยานหลักฐาน เพราะขณะนี้เครื่องมือในโลกสมัยใหม่ตกอยู่ในโลกของโซเชียลฯ เต็มไปหมด พนักงานสอบสวนขาดองค์ความรู้ในด้านนี้ สตช.ไม่สนับสนุน รัฐบาลไม่นำเงินมาสนับสนุนเพื่อซื้อเครื่องมือ พยานเหล่านี้มันจะหายไป 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลทำอะไรอยู่ ในเรื่องกระบวนการสอบสวนถ้ายังทิ้งร้างและปล่อยให้คาราคาซังก็จะคล้ายกับคดีนี้ที่ 8 ปีแล้ว ความเป็นธรรมที่จะเกิดขึ้นให้แก่ประชาชนคนไทยในกระบวนการยุติธรรมก็ละลายจางลงไปเรื่อยๆ เป็นบ่อเกิดของความอยุติธรรม” พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าว
ขณะที่ พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล อดีตนักวิทยาศาสตร์ (สบ 1) กลุ่มงานตรวจทางเคมีฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานเมื่อ 8 ปีที่แล้ว กล่าวว่า ตนรู้สึกไม่พอใจต่อผลที่ออกมา เพราะได้ทำคดีนี้ด้วยตนเอง โดยเป็นคนจดบันทึกถ่ายรูปดูร่องรอยของหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับคดีนี้ ซึ่งที่ผลการเก็บหลักฐานสามารถยืนยันได้ว่าผู้ต้องหาขับรถชนจริง ข่าวจากสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นที่ปรากฏรูปอยู่ก็เป็นภาพตนที่กำลังตรวจพิสูจน์หลักฐานอยู่ โดยสภาพรถในขณะนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นการชนท้ายตรงๆ ไม่ได้เป็นลักษณะปาดหน้า
พ.ต.ต.ชวลิตกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขณะนั้นเกิดตอนเช้ามืดประมาณตี 5 และรถคันดังกล่าวได้จอดอยู่ในบ้านผู้ต้องหาแล้ว แต่กลับให้คนรับใช้ในบ้าน 2 คนมามอบตัว เมื่อพนักงานทำการสอบสวนปรากฏว่าไม่ใช่ เวลานั้นผู้บัญชาการตำรวจนครบาลได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 200 นายไปปิดล้อมบ้าน จนนายวรายุทธ อยู่วิทยา ออกมามอบตัว และเมื่อตรวจร่างกายพบร่องรอยหนึ่งที่ยืนยันได้ชัดว่าอยู่ในเหตุการณ์อุบัติเหตุคือผิวบริเวณที่คาดรัดเข็มขัดนิรภัยเป็นรอยช้ำสีแดงซึ่งเป็นหลักฐานที่ยืนยันได้ และตนยังเป็นคนดูกล้องวงจรปิดด้วยตนเอง เมื่อคำนวณความเร็วก็เกินที่กฎหมายกำหนด
“หลักฐานที่มีขณะนั้นเรามั่นใจว่าสามารถเอาผิดได้อย่างแน่นอน หน่วยงานพิสูจน์หลักฐานที่ผมสังกัดได้ทำงานอย่างหนักและส่งผลสรุปเสร็จภายใน 1 เดือน แต่เมื่อมาถึงชั้นพนักงานสอบสวนกลับใช้เวลาหลายปี พอผลสรุปออกมาแบบนี้ ผมรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง ถือว่ากระบวนการยุติธรรมไม่น่าพอใจ ควรผลักดันให้ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปเสียที”
ด้านนายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ ส.ส.กทม.พรรคก้าวไกล กล่าวเสริมว่า ตนขอตั้งคำถามถึงความยุติธรรมไทย สิ่งที่เกิดขึ้นกับ ด.ต.วิเชียร กว่า 8 ปี ความยุติธรรมควรจะมาถึงชีวิตเขา แต่ก็มาไม่ถึง เพราะอัยการสั่งไม่ฟ้อง สตช.ก็ไม่แย้ง สรุปก็เพิกถอนหมายจับ
“นี่คือสิ่งที่ สตช. และอัยการต้องออกมาแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสังคม ชีวิตนายตำรวจที่สังคมตั้งคำถามเงินเดือนไม่ถึง 2 หมื่น แต่กลับมีลูกคนรวยขับรถเฟอร์รารีคันละ 20-30 ล้าน มีธุรกิจหมื่นแสนล้าน ขับมาชน ซึ่งจะเป็นความรู้สึกที่เราไม่ได้รับความยุติธรรม และจะถาโถมเหมือนที่กลุ่มนักศึกษาออกไปชุมนุมเรียกร้องตอนนี้”
นายจิรวัฒน์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ สตช.ยังมีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยตำรวจ 11 นายที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ แต่พอส่งไปยัง ป.ป.ช.กลับชี้ไม่ผิดวินัยร้ายแรง ทั้งกรณีไม่นำรายงานผลการคำนวณความเร็วของกองพิสูจน์หลักฐานมาประกอบความเห็นในคดี เพราะความเร็วจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญว่าประมาณหรือไม่ และผลสอบแอลกอฮอล์ก็ไม่ทราบว่าเมาหรือไม่ และละเว้นไม่ดำเนินการออกหมายจับ และผู้รวมลงนามสำนวนการสอบสวนที่ไม่กำกับติดตามดูแลให้การสอบสวนเป็นไปโดยถูกต้อง รอบคอบและตามกระบวนการกฎหมาย
ดังนั้น ต่อไปถ้าเกิดคดีความเช่นนี้กับลูกหลานคนรวยก็อาจจะมีการวางแผนให้ดำเนินการไปเลย โดนแค่ผิดวินัยไม่ร้ายแรง ยังอยู่ในคราบพันตำรวจเอก พันตำรวจโทกันอยู่ สังคมจะเอาแบบนี้ใช่หรือไม่ และขอให้สำนักงานอัยการชี้แจงเรื่องที่ปล่อยให้มีการเลื่อนนัดถึง 7 ครั้งกับสังคมด้วย เพราะถ้าเป็นคนธรรมดาก็คงไม่มีทางเป็นแบบนี้ เมื่อต้นทางกระบวนการยุติธรรมเป็นแบบนี้จะสร้างความเป็นเชื่อมั่นแก่ประชาชนได้อย่างไร
“ในฐานะ ส.ส.อยากฝากไปถึงผู้ต้องหาในคดีนี้ว่า รวยแล้วต้องมีความละอายใจและมีความรับผิดชอบต่อสังคมบ้าง ถ้าซื้อรถได้ขนาด 30 ล้าน แต่เยียวยาให้ภรรยาผู้เสียชีวิตนายดาบที่มีศักดิ์ศรีไม่ต่างจากบอส อยู่วิทยา ที่ตอนแรกเรียกค่าเยียวยา 8 ล้าน แต่ทราบว่ามีการต่อรองภรรยาเหลือ 2 ล้าน เรื่องนี้ต้องติดตามจะปล่อยไว้ไม่ได้ เพราะถ้าปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปแล้วลูกหลานผม ลูกหลานท่านเอาแบบนี้ใช่หรือไม่ จึงขอให้สังคมอย่าเงียบกริบ แล้วคุกมีไว้แค่ขังคนจนเท่านั้น” นายจิรวัฒน์กล่าว