“ทิพานัน” เชื่อมั่น “บิ๊กตู่” เลือกทีมเศรษฐกิจเหมาะสมพัฒนาเศรษฐกิจ ตอก “พิธา” ติเรือทั้งโกลน วิจารณ์คนละทางกับฝ่ายค้าน ชี้ประชาชนต้องการคนแก้ไขปัญหาปากท้อง-ซื่อสัตย์
วันนี้ (18 ก.ค.) น.ส. ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.จอมทอง-ธนบุรี พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล วิจารณ์โฉมหน้าแคนดิเดตทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ส่วนใหญ่เป็นนักบริหาร นักธุรกิจ แต่ไม่ใช่นักวิชาการเหมาะกับบริษัทมากกว่าว่า เป็นความคิดเห็นที่ไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ที่ออกมาแสดงความเห็นเมื่อ 14 ก.ค.ว่าขอให้เอาคนที่ทำมาหากินเป็น หาเงินและลงทุนเป็นมาทำงานด้านเศรษฐกิจ ขอให้เอานักบริหารเศรษฐกิจมาทำ ดังนั้น การที่นายพิธาออกมายอมรับฝ่ายค้านไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญนั้นคงไม่ถูกต้อง แต่น่าจะเป็นเพราะพรรคร่วมฝ่ายค้านขาดการทำงานที่ประสานกัน มีความคิดเห็นกันไปคนละทางมากกว่า
“นายพิธาติเรือทั้งโกลน โดยหลักการคนที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นต้องมาจากนักวิชาการเท่านั้น แต่ต้องเป็นบุคคลที่มีความสามารถในการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อเป้าหมายในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ สิ่งสำคัญที่ประชาชนต้องการ คือ คนที่เข้ามาแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน และซื่อสัตย์สุจริต” น.ส.ทิพานันกล่าว
น.ส.ทิพานันกล่าวว่า ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และทีมเศรษฐกิจ ได้ดำเนินการวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจไว้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจแห่งความรู้และนวัตกรรมที่ครอบคลุมอุตสาหกรรมของโลกอนาคตซึ่งสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบัน จนประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ของโลกจากผลการจัดอันดับประเทศที่เหมาะสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจมากที่สุดในโลก ประจำปี 2563 ของ U.S. News & World Report ดังนั้นจึงเชื่อมั่นได้อย่างเต็มที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะพิจารณาสรรหาทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ที่เหมาะสมในการทำหน้าที่พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยให้พ้นวิกฤติไปได้ยิ่งโดยเฉพาะสถานการณ์ที่ต้องแก้ไขปัญหาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด19
น.ส.ทิพานันกล่าวว่า นายกฯ ยังได้แสดงถึงความสามารถในการเป็นผู้นำ ทำงานร่วมกับผู้มีความสามารถด้านการแพทย์และสาธารณสุขในการควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 จนประสบความสำเร็จมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพียง 3,246 คน หรือคิดเป็น 0.02% ของยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลก 14,060,402 คน จากผลจากความสำเร็จนี้ทำให้ประเทศไทยมีอัตราชะลอตัวทางเศรษฐกิจน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ที่ยังไม่สามารถควบคุมจัดการการแพร่ระบาดได้ และมีโอกาสทางเศรษฐกิจสูงที่จะกลับมาฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดยังคงต้องดำเนินต่อไป ไม่สามารถประมาทได้ ซึ่งความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ