ราวกับแบ่งบทกันไว้ “ชูป้ายด่า” ที่ระยอง “ทอน-บูด-ช่อ-ชาญวิทย์” โหนทั้งคณะก้าวหน้า-ที่ปรึกษา แถมชงต่อ ส.ส.ก้าวไกล เล่นเกมในสภา “ดร.นิว” ชี้เจ้าหน้าที่พลาด วิธีจับกุมเข้าทางนักปั่นกระแสให้คนรุ่นใหม่เกลียดรัฐบาล
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (16 ก.ค. 63) เฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
หัวหน้าคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความระบุว่า
“การไประยองครั้งนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ ไร้ซึ่งประโยชน์สิ้นดี เพราะไม่กล้าไปเจอหน้าประชาชน ที่อยากถามประยุทธ์ในฐานะนายกรัฐมนตรี ว่า “ท่านจะรับผิดชอบและมีมาตรการเยียวยาอย่างไร?”
ผมขอเป็นกำลังใจและยืนเคียงข้าง #คนระยองไม่ยอมจำนน ครับ”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความสอดรับกันว่า
“จากกรณีแกนนำเยาวชนตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย ถูกจับขึ้นรถไป สภ.เมืองระยอง หลังชูป้ายหน้าจุดแรกที่นายกรัฐมนตรี เดินทางมาถึง จ.ระยอง
ผมเห็นว่า ในรัฐเสรีประชาธิปไตย การใช้อำนาจเพื่อจำกัดสิทธิประชาชน จะต้องมีกฎหมายให้อำนาจ และกระทำไปตามหลักพอสมควรแก่เหตุ
นับตั้งแต่ คสช. ครองอำนาจ จนสืบทอดอำนาจมาถึงทุกวันนี้ เราพบเห็นกรณีเจ้าหน้าที่ละเมิดสิทธิของประชาชนตามอำเภอใจอย่างต่อเนื่อง เช่น เจ้าหน้าที่สะกดรอยตาม โทร.ไปข่มขู่คุกคามครอบครัวคนที่ออกมาแสดงความเห็นหรือทำกิจกรรม ขับรถวนเวียนหน้าบ้าน เฝ้าหน้าบ้าน เข้าไปในที่เสวนาวิชาการ เข้าไปบันทึกคลิปในกิจกรรมต่างๆ ถ่ายรูปทะเบียนรถ จดชื่อ จับกุม อุ้มไปดื้อๆ โดยไม่ทำตามกระบวนการทางกฎหมาย
ทั้งหมดนี้ คือ ความผิดปกติ เราต้องอย่ายอมรับมัน หรือคุ้นชินกับมันจนกลายเป็นความปกติ
การใช้อำนาจอุกอาจพวกนี้มาในนามของ “หาข่าว” “อำนวยความสะดวก” “ดูแลความปลอดภัย” “ขอความร่วมมือ” แต่ทั้งหมด คือ การกำจัดเสรีภาพการแสดงออกอย่างอำเภอใจ ใช้อำนาจโดยไม่มีกฎหมาย หรือไม่ก็ฉวยเอากฎหมายมาเป็นเครื่องมือ
เจ้าหน้าที่มักบอกว่า “เห็นใจพี่หน่อย นายสั่งมา” “ขอความร่วมมือด้วย ถ้าพี่ไม่ทำ นายเล่นงานพี่” เราต้องถามกลับไปว่า นายของพี่คือใคร มีอำนาจตามกฎหมายใด? พี่ไม่เห็นใจไม่สนใจประชาชนบ้างหรือ? นายพี่และพี่รับเงินเดือนจากภาษีประชาชนไม่ใช่หรือ? พี่จะทนอยู่กับนายแบบนี้หรือ? ทำไมไม่ลุกขึ้นมาอยู่ข้างประชาชน?
ยิ่งผ่านไปนานวัน เจ้าหน้าที่พวกนี้ยิ่งได้ใจ “หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก” เอะอะก็อ้างว่า “นายสั่งมา” ทำลงไปแล้วก็พ้นผิดลอยนวล สรุปจะไม่ปกครองประเทศกันโดยกฎหมาย แต่จะปกครองตามอำเภอใจของ “นาย” เพื่อ “นาย” อย่างนั้นหรือ?
ที่ทำๆ กันอยู่นั้น
1. ไม่มีกฎหมายให้อำนาจกระทำ
2. ต่อให้ไปควานหากฎหมายมาอ้าง ก็เอากฎหมายนั้นมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ ใช้อย่างบิดผัน เพื่อจำกัดการแสดงออก
3. ใช้อำนาจไปโดยเกินกว่าเหตุ ไม่ได้สัดส่วน
4. เลือกปฏิบัติ มุ่งปราบปรามเฉพาะคนที่เห็นต่างจากรัฐบาล
ประชาชนต้องการแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อความหละหลวมและล้มเหลวในการบังคับใช้มาตรการป้องกันโควิด-19 ของรัฐบาลที่สร้างวิกฤตอันใหญ่หลวงให้กับชาวระยอง พวกเขาย่อมมีสิทธิที่จะแสดงออกได้
หากท่านไม่ฟังประชาชน แล้วท่านฟังใคร?
พอกันทีกับรัฐบาลเผด็จการคณาธิปไตย !!!
#บ้านป่าเมืองเถื่อน #เราจะอยู่กันแบบนี้จริงๆ หรือ #โควิด19 #ระยอง #คนระยองไม่ยอมจำนน #การ์ดอย่าตก”
“ช่อ” ก็มา นางสาวพรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ ระบุว่า
“เราประชาชนขอยืนเคียงข้าง #คนระยองไม่ยอมจำนน ช่วยกันปกป้องคนที่กล้าทวงถามความจริงจากนายกฯ
ขอถามตำรวจ ใช้อำนาจอะไรมาควบคุมตัวประชาชนที่แสดงออกอย่างสันติ
ขอถามนายกฯ จะเป็นนายกฯของคนทุกคน หรือเป็นนายกฯเฉพาะของคนที่ชื่นชมตัวเอง”
รวมถึง นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ภาพกลุ่มวัยรุ่นถือป้ายด่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านเฟซบุ๊ก ว่า
“คนระยอง Rayongers...ในแง่ของประวัติศาสตร์ พระเจ้าตากสิน เมื่อออกกรุงศรีอยุธยา ท่านควบม้ามุ่งสู่ฝั่งตะวันออก ท่านใช้ฐานที่มั่น อยู่ระยองเป็นเวลายาว ได้กำลังสนับสนุนจากคนระยองแล้วจึงไปทุบหม้อข้าว ชิงเอาเมืองจันท์ไว้ได้ จากนั้นก็พิชิตศึก กลับมาขับไล่พม่า ยึดกรุงศรีอยุธยาสยามประเทศคืน ครับ”
เล่นเอาประวัติศาสตร์มายกยอกันเลยทีเดียว
ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ที่รัฐสภาวันนี้ คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร นำโดย นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษก กมธ. น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ในฐานะที่ปรึกษา กมธ. รับหนังสือร้องเรียนจาก นายภานุพงศ์ จาดนอก และ นายณัฐชนน พยัฆพันธ์ แกนนำเยาวชนภาคตะวันออกฯ ที่ชูป้ายด่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระหว่างการลงพื้นที่จังหวัดระยองเมื่อวานนี้
โดย นายภานุพงศ์ อ้างว่า แค่ต้องการไปตั้งคำถาม นายกฯจะรับผิดชอบอย่างไร
ทั้งนี้ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ก.ค. สร้างความกังวลให้กรรมาธิการ เนื่องจากเราเชื่อว่า เสรีภาพในการแสดงออกเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน เชื่อว่า ประชาชนสามารถตั้งคำถามกับรัฐบาลได้ แต่ในฐานะกรรมาธิการ ก็ต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย จึงรับเรื่องเข้าสู่คณะกรรมาธิการ เพื่อพูดคุยว่าจะเชิญใครเข้ามาชี้แจงบ้าง และมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ เพื่อนำผลการศึกษานี้รายงานต่อสภา และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
แต่ที่น่ารับฟังไม่น้อย ก็คือ เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyanของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์หัวข้อ “#คนรุ่นใหม่รู้ทันธนาธรเด็กหนุ่มวัย 41 ขวบ”
เนื้อหาระบุว่า “ก่อนอื่นต้องบอกว่า ผมไม่เห็นด้วยกับการควบคุมตัวเกรียน 2 คน ที่ออกมาถือป้ายด่ารัฐบาล จึงเป็นความผิดพลาดอย่างยิ่งของรัฐบาลที่ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องควบคุมตัวบุคคลดังกล่าวจนเข้าทางให้ธนาธรและพวก เอามาโหนปั่นกระแสในโลกโซเชียลเพื่อผลักให้คนรุ่นใหม่เป็นศัตรูกับทางภาครัฐอีกครั้ง
เพราะตราบใดที่เขายังไม่ได้ใช้ความรุนแรง หรือละเมิดสิทธิเสรีภาพผู้อื่นอย่างชัดเจน ก็ควรปล่อยให้พวกเขาประท้วงตามสิทธิเสรีภาพ ให้สังคมได้เห็นถึงความตกต่ำของคนรุ่นใหม่เทียมอย่างธนาธรและพวกที่ตอนนี้สามารถโหนคนรุ่นใหม่หน้าตาเดิมๆกับพฤติกรรมเกรียนๆ ได้เพียงแค่ไม่กี่คนแล้ว
ความตกต่ำของธนาธรและพวก สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนผ่านการโหนเกรียน 2 คนในครั้งนี้ จากที่ก่อนหน้านี้ สามารถโหนแฟลชม็อบนักศึกษาจำนวนมากได้ แต่ทุกวันนี้พวกเขากลับทำได้แต่โหนนักเคลื่อนไหวที่เป็นเด็กเกรียนหน้าตาเดิมๆ เพียงแค่ไม่กี่คน แถมทุกคนก็ดูเหมือนจะเป็นเครือข่ายเดียวกัน หรือไม่ก็เด็กในสังกัดของเขาทั้งสิ้น ไหนว่าเท่าเทียม ไหนว่าทุกคนเท่ากัน แต่ทำไมธนาธรกับปิยบุตร เอาแต่มุดหัวอยู่หลังเกรียนตัวเล็กๆ พวกนี้จนดูไม่สมกับฐานะของความเป็นผู้นำเลยแม้แต่นิดเดียว
จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า แม้แต่เรื่องภาวะผู้นำ ธนาธรกับปิยบุตร ยังไม่สามารถสู้เกรียน 2 คนนี้ได้เลย
และเป็นเพราะพฤติกรรมประชาธิปไตยจอมปลอมเหล่านี้ ที่ทำให้นักศึกษาและคนรุ่นใหม่ตัวจริง ตื่นขึ้นมาจากกระแสประชาธิปไตยจอมปลอมของธนาธรกับปิยบุตร ที่เป็นแค่เพียงภาพลวงตา ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนักประชาธิปไตยจอมปลอมที่คอยบ่งการปั่นกระแสอยู่หลังหน้าจอคอมพิวเตอร์ และตระหนักได้แล้วว่า ธนาธรและพวกเป็นเพียงแค่นักปลุกปั่นหรือไม่ก็นักใช้กฎหมู่ในโลกโซเชียลที่เอาแต่ปลุกม็อบรายวัน ด้วยการแอบอ้างประชาธิปไตยและประชาชนบังหน้า ทั้งหมดก็เพื่อหลอกใช้มวลชนเป็นเครื่องมือเพื่อการก่อม็อบแย่งชิงอำนาจทางการเมืองจากฝ่ายตรงข้าม
คนรุ่นใหม่ที่ต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง ตามแนวทางที่สันติ จึงไม่หลงไปกับกระแสโซเชียลจอมปลอมที่ถูกปั่นขึ้นโดยธนาธรและพวก ส่วนคนที่เคยหลงใหลไปบ้าง พอได้เห็นธาตุแท้ของธนาธรและพวก ไม่นานก็รู้เท่าทันและไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของเจ้านายหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกต่อไป คงจะเหลือแต่กลุ่มเด็กเกรียนหน้าตาเดิมๆ เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังยอมออกมาเป็นตัวตลกโวกเวกโวยวายให้ท่านธนาธรกับท่านปิยบุตรได้ #โหนเกรียนอยู่บ้านต่อต้านเผด็จการ
สิ่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่คิดได้ คือ การที่ธนาธรและพวกถือประชาธิปไตยแนวทางผิดที่เป็นประชาธิปไตยจอมปลอม ไร้แก่นสาร ถนัดแต่สร้างวาทกรรมที่ผ่านการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองและการสร้างภาพ เป็นการเคลื่อนไหวโดยการปั่นกระแสโซเชียลลมตด เอาแต่โหนผู้อื่นเป็นเครื่องมือมากกว่าที่จะลงมือทำเอง กี่คนแล้วที่ถูกพวกเขาโหนเป็นเครื่องมือแบบทิ้งๆ ขว้างๆ เพื่อปลุกม็อบรายวัน แล้วก็ถูกลืมไปในเวลาเพียงไม่กี่วัน และที่สำคัญที่สุด การเคลื่อนไหวของธนาธรและพวกเต็มไปด้วยการยัดเยียดความขัดแย้ง ความเกลียดชัง และความรุนแรงในการระดมปลุกปั่นไม่ใช่แนวทางประชาธิปไตยที่สันติ...”
แน่นอน, ทั้งหมด เห็นได้ชัดว่า กรณียกป้ายด่านายกฯและรัฐบาลที่ระยอง เจ้าเก่าคณะเดิมผสมโรงโหนกระแส หวังปั่นความเกลียดชังนายกฯและรัฐบาล เพราะรู้อยู่แล้ว ว่า “ปลาจะต้องกินเหยื่อ” เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องจัดการกับคนถือป้าย เหมือนเช่นทุกครั้ง อย่างที่ “ปิยบุตร” ก็ระบุในโพสต์
แต่ประเด็นที่น่าคิด ก็คือ กรณี ดร.นิว ชี้ให้เห็นว่า คนเหล่านี้ไม่อาจโหนกระแสจากพลังอันบริสุทธิ์ของนักศึกษา อย่างที่เคยโหนแฟลชม็อบได้แล้ว จึงได้แต่โหนเกรียนหน้าเดิมคนกันเองสลับกันไปมาไม่กี่คน เพราะนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ รู้ทันความจอมปลอมของพวกเขาหมดแล้ว
ถ้าจริงอย่างที่ ดร.นิวว่า ก็ถือเป็นบุญสำหรับประเทศไทย จะได้ไม่ต้องมาเผชิญกับชะตากรรมกงล้อประวัติศาสตร์ คนไทยขัดแย้งแตกแยกและฆ่ากันเอง ที่คนไทยไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว
โดยเฉพาะที่ต้องระวังก็คือ คนรุ่นใหม่ที่หลงผิด กับคนรุ่นเก่า ผู้ปกป้องและอนุรักษ์สถาบันหลักของประเทศ จะต้องเผชิญหน้ากัน โดยไม่มีทางหลีกพ้น ไม่วันใดก็วันหนึ่งนั่นเอง