มติเสียงข้างมากศาลรัฐธรรมนูญให้ “สิระ” รอด ชี้ไม่ได้ใช้สถานะ ส.ส.ก้าวก่ายตำรวจภูเก็ต แต่เปิดช่องเอาผิดจริยธรรมได้ เจ้าตัวขอบคุณวินิจฉัยเป็นธรรม จ่อฟ้องกลับ ส.ส.ฝ่ายค้านที่ร่วมลงชื่อ
วันนี้ (1 ก.ค.) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 7:1 ว่าการที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ เดินทางลงไปตรวจสอบพื้นที่การก่อสร้างคอนโดมิเนียม เมื่อวันที่ 18-19 ส.ค. 2562 ที่ จ.ภูเก็ต และได้มีการแสดงพฤติกรรมและใช้วาจาไม่เหมาะสมกับ พ.ต.ท.ประเทือง ผลมานะ รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สภ.กะรน ผู้บริหารเทศบาลตำบลกะรน ไม่เข้าลักษณะเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ ส.ส.เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติราชการ หรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง ของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รับถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 185(1) จนเป็นเหตุให้สมาชิกภาพความเป็น ส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(7)
โดยศาลให้เหตุผลว่า นายสิระให้การยอมรับว่าได้ลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต เพื่อตรวจสอบพื้นที่การก่อสร้างคอนโดมิเนียม ได้พูดจาและแสดงพฤติกรรมกับ พ.ต.ท.ประเทือง นายกเทศมนตรีตำบลกะรน ตามที่ได้มีการร้องจริง แม้นายสิระจะไม่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการให้ลงไปตรวจสอบบุคคลภายนอก แต่จากการกระทำดังกล่าวมี 2 การกระทำ คือ 1. พูดจาไม่เหมาะสมกับ พ.ต.ท.ประเทือง กรณีพบการก่อสร้างผิดกฎหมายแล้วไม่ดำเนินคดี และ 2. ไม่จัดเจ้าหน้าที่มาดูแลรักษาความปลอดภัยนายสิระ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากเห็นว่าการกระทำดังกล่าวของนายสิระเป็นเพียงต้องการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายที่กำหนด ซึ่งการแสดงพฤติกรรมและการใช้ถ้อยคำของนายสิระนั้นเป็นเพียงการไม่เห็นด้วยต่อการทำหน้าที่ของ พ.ต.ท.ประเทืองเท่านั้น
สำหรับกรณีแสดงพฤติกรรมและพูดจาต่อนายกเทศมนตรี และผู้บริหารเทศบาลตำบลกระรน ก็เป็นเพียงการสอบถามข้อมูลและรับฟังคำชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายกับการก่อสร้างอาคารชุดดังกล่าว เพื่อให้มีการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายกำหนด จึงยังฟังไม่ได้ว่านายสิระใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็น ส.ส.ก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือพรรคการเมือง ในการปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของ พ.ต.ท.ประเทือง นายกเทศมนตรี และผู้บริหารเทศบาลตำบลกระรน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 185 (1)
อย่างไรก็ตาม ศาลระบุว่า หากบุคคลใดเห็นว่าพฤติกรรมดังกล่าวของนายสิระไม่สุภาพเหมาะสม ต่อสถานะหรือตำแหน่ง ส.ส. บุคคลนั้นสามารถดำเนินการตามที่รัฐธรรมนูญ กฎหมาย หรือข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของ ส.ส.และกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 และมาตรมาตรฐานทางจริยธรรมของ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระฯ 2561 ซึ่งใช้บังคับกับ ส.ส.ด้วย
ด้านนายสิระให้สัมภาษณ์หลังรับฟังคำวินิจฉัยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ขอบคุณศาลรัฐธรรมนูญที่ยังให้เป็น ส.ส.อยู่ จะนำคำวินิจฉัยไปปรับปรุงการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ประชาชนทั้งประเทศให้มากที่สุด เพราะศาลวินิจฉัยว่าการเป็น ส.ส.ของปวงชนชาวไทยถ้าทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนและรัฐทำที่ไหนก็ได้ ดังนั้น ที่บอกว่าเป็น ส.ส.ของเขตหลักสี่ ไม่ใช่ ส.ส.ของ จ.ภูเก็ต ก็ต้องเข้าใจแล้วว่าตนเป็น ส.ส.ของปวงชนชาวไทย ไม่ใช่ ส.ส.เฉพาะเขต ส่วนผู้ที่ร้องเรียนเรื่องนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตนถือว่าเราเป็นฝ่ายนิติบัญญัติเหมือนกัน การที่จะร้องอะไรก็ต้องรับผลตามมา ดูว่าผู้ถูกร้องได้รับความเดือดร้อนหรือไม่ มีการเซ็นชื่อกันกว่า 50 กว่าคน ได้มีการอ่านคำร้องหรือไม่ เบื้องต้นได้ให้ฝ่ายกฎหมายดูว่าความผิดของผู้ร้องมีอะไรบ้าง จะได้เป็นบรรทัดฐานในการเซ็นชื่อร้องโดยที่ไม่สอบข้อเท็จจริง ตนถือว่าวันนี้ได้ทำประโยชน์กับประเทศ คอนโดฯ ที่ลงพื้นที่ใน จ.ภูเก็ตก็ได้ถูกระงับการก่อสร้าง ก็รออีกนิดหนึ่งว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นหรือไม่ ที่ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ทั้งนี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ต้องรับผิดชอบ ถ้ามีอีกไม่ใช้เฉพาะกรณีนี้ตนพร้อมที่จะไปตรวจสอบ
“ถ้าพบว่าผู้ร้องมีเจตนาหรือความผิดสำเร็จตามมาตรา 157 ผมจะต้องดำเนินคดีต่อผู้ที่ลงรายชื่อทั้งหมด เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่ ส.ส.ที่ใช่ว่าจะร้องใครก็ร้อง และไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย เราเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ออกกฎหมายให้คนทั้งประเทศใช้ ฉะนั้น ส.ส.จะต้องรับผิดชอบต่อตัวท่านเองด้วย มิฉะนั้นประชาชนจะให้ความเชื่อถือ ส.ส.ได้อย่างไร งานนี้ถ้าพบผิดจริง ผมเอาคืนแน่ ไม่ใช่เรื่องการจองเวรจองกรรม แต่เป็นเยี่ยงอย่างไม่ให้ไปกระทำกับรายต่อไป ไม่ว่าท่านนั้นจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน”