“ประวิตร” รองนายกฯ ลงพื้นที่จังหวัดเลย ติดตามโครงการเจาะบ่อน้ำบาดาลเสริมให้กับแหล่งน้ำดิบ แก้ไขปัญหาภัยแล้ง บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
วันนี้ (10 มิ.ย.) เวลา 09.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่เทศบาลนาโป่ง ต.นาโป่ง อ.เมือง จ.เลย ตรวจติดตามโครงการเจาะบ่อน้ำบาดาลเสริมให้กับแหล่งน้ำดิบเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำอุปโภคบริโภค และเป็นประธานในพิธีเปิดและส่งมอบบ่อน้ำบาดาล พร้อมระบบกระจายน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรแปลงใหญ่ ที่บ้านสะอาด ต.น้ำสวย อ.เมือง จ.เลย
สำหรับการเดินทางมา จ.เลย ของรองนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ เพื่อตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำแล้งในพื้นที่ พร้อมผลักดันนวัตกรรมการพัฒนาน้ำบาดาลให้เป็นต้นแบบการนำไปใช้แก้ไขปัญหาภัยแล้ง และการขาดแคลนน้ำในพื้นที่อื่นๆ ให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยโครงการศึกษาการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรแปลงใหญ่ กรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้เริ่มดำเนินการนำร่องใน 6 พื้นที่ ได้แก่ จ.กาญจนบุรี, ลำพูน, เพชรบูรณ์, ยโสธร เลย และ สระแก้ว นับเป็น 1 ใน 10 นวัตกรรมด้านน้ำบาดาลที่จะสามารถแก้ไขปัญหาภัยแล้งเร่งด่วนได้ทันต่อสถานการณ์ นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมภาคเกษตรกรรมให้สามารถใช้น้ำบาดาลควบคู่ไปกับการใช้น้ำผิวดินได้อย่างไม่ขาดแคลน เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีน้ำใช้เพื่อการเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี
พล.อ.ประวิตร กล่าวกับประชาชนที่มาต้อนรับว่า รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยแล้งอยู่ในขณะนี้ ได้เร่งสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขและบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำอุปโภคบริโภค หรือน้ำเพื่อการเกษตร เพื่อให้ทุกคนทุกพื้นที่สามารถผ่านพ้นปัญหาภัยแล้งปีนี้ไปได้ และจะต้องคิดค้นเพื่อหาวิธีกักเก็บน้ำฝนให้ได้มากที่สุด เพื่อรองรับกับฤดูแล้งในปีต่อไป
“สำหรับโครงการน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรแปลงใหญ่ที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้ริเริ่มทำในพื้นที่ 6 จังหวัดนั้น นับว่า เป็นนวัตกรรมด้านการพัฒนาน้ำบาดาลของประเทศไทยที่จะเป็นต้นแบบให้นำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และการขาดแคลนน้ำกับพื้นที่อื่นๆ ให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและพื้นที่การเกษตรกร รวมถึงปริมาณน้ำบาดาลให้มีใช้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปี โดยตั้งเป้าหมายดำเนินโครงการอำเภอละ 1 แห่ง” รองนายกฯ ระบุ
พล.อ.ประวิตร กล่าวด้วยว่า หลังจากการส่งมอบโครงการให้แก่กลุ่มเกษตรกรไปแล้ว ขอให้ผู้นำท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น นายก อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทำความเข้าใจกับประชาชนและกลุ่มเกษตรกร ว่า การใช้น้ำบาดาลเพื่อการเกษตรแปลงใหญ่แบบนี้ จะต้องช่วยกันดูแลรักษา และเน้นปลูกพืชใช้น้ำน้อย แต่ขายได้ราคาสูง เมื่อเกษตรกรมีรายได้มากขึ้น คุณภาพชีวิตก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ปัญหาการย้ายถิ่นฐานไปทำงานที่อื่นก็จะน้อยลง ทำให้ครอบครัวมีความสุขและความอบอุ่นเมื่อได้อยู่ร่วมกันอย่างพร้อมหน้า พร้อมกล่าวแสดงความมั่นใจว่าสถานการณ์ภัยแล้ง และปริมาณน้ำในปีนี้จะดีกว่าปีที่ผ่านมา