มท.1 กำชับผู้ว่าฯ-นายอำเภอ ดึงภาคประชาชน ร่วมตรวจสอบโครงการจัดซื้อจัดจ้างจากเงินกู้ฟื้นฟู เยียวยาโควิด-19 เน้นโปร่งใส ไร้ทุจริต ย้ำมาตรการผ่อนคลายระยะ 3 “การ์ดอย่าตก” เชื่อมาตรการท่องเที่ยวควบคู่คุมโรคดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มโอกาสทองเศรษฐกิจประเทศ ด้านปลัด มท.ย้ำหากพบ คน มท.ใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ แสวงหาผลประโยชน์ ให้แจ้งศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด หรือ ศบค. พร้อมให้ผู้ว่าฯ สั่งฟันวินัย-อาญาทุกกรณี
วันนี้ (31 พ.ค.) มีรายงานจากกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมซักซ้อมแนวทางปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตามมาตรการผ่อนปรน ระยะ 3 ผ่านระบบ Video Conference ไปยังทุกจังหวัด และทุกอำเภอ โดยมี ผู้บริหารมหาดไทย ผู้แทนฝ่ายเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวชมเชยการปฏิบัติของฝ่ายปกครอง สาธารณสุข ท้องถิ่น ตำรวจ ทหาร และอาสาสมัครต่างๆ ที่ได้ร่วมกันป้องกัน สกัดกั้น ยับยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 และประชาชนให้ความร่วมมือกันดีมาก ทำให้ไม่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีเป็นประเทศหนึ่งในโลก
อย่างไรก็ตาม ต้องช่วยกันเน้นย้ำสร้างการรับรู้กับประชาชนให้รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน ด้วยการสวมหน้ากาก ล้างมือ และรักษาระยะห่าง (Social Distancing) ตลอดเวลา “อย่าการ์ดตก” ให้เป็น New Normal เพราะที่ผ่านมาระยะ 1 และ 2 เราทำได้ดีมาก
สำหรับระยะต่อไปที่จะเข้าสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง “การท่องเที่ยว” ที่จะต้องมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศ ดังนั้น ถ้าทุกคนทำตามมาตรการควบคุมโรคควบคู่ไปกับเศรษฐกิจได้ ก็จะเป็นโอกาสทองของประเทศไทย
ขณะที่ในด้านการใช้งบประมาณ ทั้งการป้องกันและแก้ไขปัญหาและการฟื้นฟู ทุกส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ต้องบริหารจัดการให้เป็นไปด้วยความโปร่งใสอย่างเคร่งครัด ต้องร่วมมือกันในการใช้งบประมาณที่มีอยู่ไม่มากให้ดีที่สุด แก้ไขปัญาให้ดีที่สุด เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ และประชาชน
“การจัดทำโครงการและการจัดซื้อจัดจ้างต้องไม่มีการทุจริต เพราะคนที่ได้รับผลกระทบคือประเทศชาติและคนไทยทุกคน ดังนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอต้องสอดส่องดูแล หากพบว่าสิ่งใดจะก่อให้เกิดความเสียหาย ต้องเรียกดู ตรวจสอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีการร้องเรียนต้องเร่งลงไปกำกับดูแล และเชิญชวนประชาชนช่วยกันตรวจสอบ ร้องเรียน และแจ้งเบาะแสมายังศูนย์ดำรงธรรม และลงไปดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย”
ด้านนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดมหาดไทย ได้รายงาน มาตรการผ่อนปรน ระยะ 3 ให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ประชุมรับทราบ โดยแจ้งในข้อ 7) ว่า หากพบการแสดงตนโดยใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบให้แจ้งศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดหรือแจ้งต่อศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ทำเนียบรัฐบาล
ส่วนกรณี คำสั่ง ศบค.ที่ 4/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 3) ลงวันที่ 29 พ.ค. 2563 โดยให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินและพนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคแนบท้ายคำสั่งโดยเคร่งครัด โดยไม่ต้องเพิ่มเติมกิจการ/กิจกรรมใดๆ ตามข้อกำหนดฯ แต่อาจเสริมมาตรการในทางปฏิบัติได้ และให้สร้างการรับรู้ตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกำหนด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามคำสั่งฯ แก่ผู้ประกอบการ พนักงาน ผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ ประชาชน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องทุกระดับ
ทั้งนี้ ในกรณีมีปัญหาว่าสถานที่หรือกิจกรรมใดเข้าข่ายตามที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดนี้หรือไม่ ให้จังหวัดแจ้งกระทรวงมหาดไทยเพื่อหารือคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาด โควิด-19 ต่อไป
“ให้เน้นย้ำเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกระดับปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมาตรการที่กำหนดด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ กรณีพบการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือแสวงหาผลประโยชน์อื่นใด ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ทั้งทางวินัยและอาญาทุกกรณี”
ท้ายสุด รมว.มหาดไทย แจ้งเพิ่มเติมว่า ขอให้ทุกส่วนราชการดำเนินงานและใช้จ่ายงบประมาณในการฟื้นฟูด้วยความโปร่งใส และร่วมกันปฏิบัติงานตามมาตรการผ่อนคลายให้รัดกุม เพื่อไม่ให้มีการแพร่ระบาด และสร้างความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในการเดินทางสัญจรข้ามพื้นที่ภายในประเทศ รวมทั้งสร้างการรับรู้และรณรงค์ให้ผู้ประกอบการและประชาชนใช้แอปพลิเคชันไทยชนะ เป็นเครื่องมือในการเฝ้าระวังและสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อสามารถทำมาหากินได้อย่างปกติและก้าวสู่การดำเนินชีวิตประจำวันรูปแบบใหม่ (New Normal) และให้ความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยทำได้ อย่างที่เราได้ทำร่วมกันมาโดยตลอด