xs
xsm
sm
md
lg

ดรามาเรียนออนไลน์ คนไม่พร้อมคือ รมว.ศึกษาฯ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ขณะไปตรวจเยี่ยมการเรียนออนไลน์
เมืองไทย 360 องศา



ก็สมควรแล้วที่ถูกผู้ปกครอง สังคม รุมกระหน่ำวิจารณ์กันอย่างรุนแรงกับปัญหาการ “เรียนออนไลน์” ที่เริ่มเรียนกันวันแรก ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม เป็นต้นมา เพราะกลายเป็นว่าเกิด “ดรามา” ในโลกโซเชียลฯ ที่มีเด็กพาบรรดาผู้ปกครองไปหาซื้อโทรศัพท์มือถือ มีการวิจารณ์ถึงความสิ้นเปลืองในการหาโทรทัศน์เครื่องใหม่ รวมไปถึงเสียงสะท้อนในเรื่องของ “ความเหลื่อมล้ำ” ความไม่พร้อมของระบบการศึกษาไทยไปโน่นก็มี

แน่นอนว่า เป้าหมายที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากกว่าใครก็ย่อมเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ "นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ" ที่ก่อนหน้านี้แทบจะลืมไปแล้วว่ายังเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ จนกระทั่งมีข่าวคราวเกี่ยวกับความขัดแย้ง แย่งเก้าอี้รัฐมนตรีในพรรคพลังประชารัฐ ที่เขาก็มีข่าวว่ามีความเคลื่อนไหวกดดันให้มีการเปลี่ยนแปลงเก้าอี้กรรมการบริหารพรรค และตำแหน่งรัฐมนตรีเสียใหม่ แต่เมื่อเรื่องราวยังไม่เกิดขึ้น ก็ว่ากันไป

แต่สำหรับการบริหารภายในกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีรัฐมนตรีว่าการชื่อ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ที่ล่าสุด กำลังถูกสังคม ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนวิจารณ์ในโครงการ “เรียนออนไลน์” หรือจะเรียกว่า การศึกษาทางไกลก็สุดแล้วแต่จะว่ากัน แต่สิ่งที่ต้องตำหนิกัน ก็คือ การ “ขาดความชัดเจน” หรือไม่มีการชี้แจงตอกย้ำให้ผู้ปกครอง และนักเรียน รวมไปถึงคนในสังคม ให้เข้าใจว่า “เป้าหมาย” และวัตถุประสงค์ของการเรียนดังกล่าวนั้นคือแบบไหนกันแน่

หากจำกันได้ ที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มการเรียนการสอนแบบออนไลน์ หรือการสอนทางไกลกลับไม่เคยได้ยินการชี้แจงอย่างเป็นเรื่องเป็นราวจากปากของ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนนี้เลย หรือแม้แต่การประชาสัมพันธ์ของกระทรวงศึกษาธิการ เกี่ยวกับโครงการนี้ในลักษณะที่ตอกย้ำให้เข้าใจแต่อย่างใด

เพราะเท่าที่เห็นก็มีเพียงผู้บริหารบางโรงเรียนที่ใช้พื้นที่ทางสื่อโซเชียลฯ ชี้แจงให้นักเรียนและผู้ปกครองได้เข้าใจ ซึ่งก็ทำได้ในวงจำกัด ซึ่งทำให้พอเข้าใจได้ว่า โครงการเรียนออนไลน์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ผ่านทางทีวีดิจิทัลเพื่อการศึกษาจำนวน 17 ช่อง โดยตั้งแต่ช่อง 37 เป็นต้นไป ซึ่งรองรับนักเรียนจำนวนหลายชั้นเรียน โดยเริ่มเรียนทางออนไลน์ และออกอากาศตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคมไป จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน ซึ่งเป็นการเรียนใน “แบบทางเลือก” เป็นการเตรียมความพร้อมทางด้านการศึกษา “ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาด” ของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยในเวลานี้ทางกระทรวงศึกษาธิการก็ได้กำหนดวันเปิดเทอมแล้ว คือ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม”เป็นต้นไป

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ “ขาดการประชาสัมพันธ์อย่างรุนแรง” จนทำให้เกิดดรามาออกมาให้เห็นต่างๆ นานา ทั้งการที่เด็กพาผู้ปกครองไปซื้อโทรศัพท์มือถือใหม่ มีการติดตั้งโทรทัศน์เครื่องใหม่เพื่อรองรับการออกอากาศ จนภาพออกมาเป็นเรื่องน่าเศร้า

ทั้งที่มันเป็นแค่ “การเตรียมความพร้อม” เป็นการศึกษาแบบทางเลือก ที่เตรียมไว้รองรับหากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังควบคุมไม่อยู่ การให้เด็กนักเรียนไปโรงเรียนในสถานการณ์แบบนั้น ถือว่าเป็นความเสี่ยง จึงมีการคิดใช้วิธีการเรียนออนไลน์มารองรับเอาไว้ แต่เวลานี้เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลาย อีกทั้งกระทรวงศึกษาธิการเองก็ได้กำหนดวันเปิดเทอมเอาไว้แล้วว่าเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นไป ในช่วงเวลาแค่เดือนเศษ คือ ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม ไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน การเรียนออนไลน์จึงเป็นเพียงการเรียนเสริม หรือเตรียมไว้รองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดยังไม่คลี่คลายเท่านั้น

ที่สำคัญก็คือ หากไม่มีโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน ที่รองรับสัญญาณอินเทอร์เน็ต หรือไม่มีทีวี ไม่มีกล่องรับสัญญาณก็ไม่ต้องไปหาซื้อใหม่ให้สิ้นเปลือง เพราะอีกไม่กี่วันก็จะเปิดเทอม มีการเรียนการสอนตามหลักสูตรตามปกติอยู่แล้ว

แต่ที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการไม่มีการชี้แจงให้ชัดเจน จนสังคมไม่น้อยเข้าใจว่า “ต้องเรียนออนไลน์ทุกคน” จนเกิดปัญหาวุ่นวาย เกิด “ดรามา” ในโลกโซเชียลฯ กันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มเรียนวันแรกจนถึงวันนี้ก็ยังไม่สร่างซา เพราะแม้กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถึงกับทนไม่ไหวต้องสั่งให้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาชี้แจงทำนองว่า ไม่ต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์ใหม่ให้สิ้นเปลือง ใครไม่มีก็ไม่เป็นไร ให้รอเปิดเทอม

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นภาพสะท้อนการทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ชื่อ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ มากกว่าใคร รวมไปถึง “ความไม่พร้อม” ของเขาที่มีมากกว่าเด็กและผู้ปกครอง แม้จะว่าไปแล้วโครงการ “เรียนออนไลน์” และการศึกษาทางไกล เป็นแนวทางที่ดี เพื่อรองรับสำหรับอนาคตที่ต้องเกิดขึ้น แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นล้วนมาจากความไม่พร้อมในการ “จัดลำดับการชี้แจง” ขาดการประชาสัมพันธ์ ทำให้เกิดปัญหาวุ่นวายอย่างที่ไม่ควรเกิดขึ้น และที่สำคัญ หากย้อนกลับไปก็ถือว่ายังโชคดีที่มีการยกเลิกโครงการที่คิดจะจัดซื้อ “แทบเล็ต” ให้กับเด็กนักเรียนไปเสียก่อน โชคดีจริงๆ !!



กำลังโหลดความคิดเห็น