เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่าในช่วงสัปดาห์สองสัปดาห์ที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวแบบ #ค้นหาความจริง ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12-13 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ด้วยการยิงแสงเลเซอร์ ตามสถานที่สำคัญในเชิงสัญลักษณ์มาหลายแหล่ง โดยกระตุ้นเตือนให้เกิดการย้อนรำลึกเหตุการณ์พฤษภาปี 35 และพฤษภา 53 ซึ่งเป้าหมายก็คาดเดากันไม่ยากว่าต้องการพุ่งไปที่ “ฝ่ายทหาร” เป็นหลัก
แต่การเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ยังถือว่า “กระแสยังไม่ได้” เพราะยังไม่ร้อนแรงพอ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเวลาได้ผ่านไปเนิ่นนาน และทุกอย่างก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มีการพิพากษาจำคุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เหมือนกับการ “ค้นหา” หรือ “รับรู้ความจริง” กันไปมากพอสมควร
อีกทั้งในยุคปัจจุบันที่เป็นยุคของการสื่อสารโซเชียลฯ ที่มีการบันทึกเหตุการณ์เอาไว้มากมาย ก็มีการพรั่งพรูออกมาที่เป็นทั้งหลักฐานความจริง ทั้งภาพเคลื่อนไหวทุกคำพูดที่เคยเป็น พรั่งพรูออกมาได้เห็นอีกครั้ง ว่าใครไปทำอะไรไว้บ้าง และในหลักฐานเหล่านั้นก็ได้เห็นภาพและเสียงของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เวลานี้เป็นหัวหน้า “กลุ่มก้าวหน้า” ร้องโอดโอยว่า “โดนกระสุนยาง” เป็นต้น
แน่นอนว่า เหตุการณ์ดังกล่าว หากพิจารณาเฉพาะเหตการณ์ “พฤษภา 53” มาถึงวันนี้ ก็ผ่านมาร่วม 10 ปีแล้ว หลายคนรับรู้และผ่านเหตุการณ์ไปมากแล้ว หลายคดีมีการตัดสินพิพากษา หลายคดีกำลังพิจารณาในศาลอีกไม่นานก็จะชี้ขาดว่าใครจะติดคุกในคดี “ก่อการร้าย” อีกหรือไม่ หลายคดีที่แกนนำคนเสื้อแดงถูกฟ้องคดีแพ่งและต้องชดใช้ค่าเสียหายนับร้อยล้านบาท เชื่อว่า “นี่ก็คือความจริง” ที่ต้องรับรู้อีกเหมือนกัน
อย่างไรก็ดี สำหรับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่เวลานี้กำลังเคลื่อนไหวในนามกลุ่มก้าวหน้า ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหากคิดจะใช้สถานการณ์ใน “เดือนพฤษภาคม” มาปลุกเร้าเพื่อหวังผลในทางการเมืองบางอย่าง อย่างน้อยก็เป็นการสร้างความปั่นป่วนให้กับฝ่ายรัฐบาล เพราะหลังจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 53 แล้วในเดือนเดียวกันนี้ ยังมีวันที่ “22 พฤษภาคม” ยังเป็นวันที่มีการ “รัฐประหาร” ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2557 นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.
แน่นอนว่า นี่ก็ย่อมเป็นอีกเงื่อนไขในการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างอารมณ์ให้กับบรรดาพวกที่อ้างตัวเองว่าเป็นนักประชาธิปไตย และนักเสรีภาพทั้งหลาย
แต่ก็นั่นแหละทุกอย่างมันมี “สองด้าน” เสมอ เมื่อมีการรัฐประหารหรือยึดอำนาจ หรือเข้าควบคุมอำนาจแล้วแต่จะเรียก มันก็ต้องมีสาเหตุเหมือนกันว่า “มันเกิดขึ้นได้เพราะอะไร” เป็นเพราะรัฐบาลในขณะนั้น เป็นเพราะนักการเมืองมีการทุจริต คอร์รัปชันจนประชาชนทนไม่ไหว ต้องออกมาเดินขบวนขับไล่กันเป็นล้าน ที่ถือว่าเป็นการชุมนุมที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย นี่ต่างหากที่น่าจะค้นหาความจริงเพิ่มเติมไปพร้อมกันด้วย
อย่างไรก็ดี ไม่ว่า “ความจริง” ที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่เวลานี้ถือว่า “ยังไม่มีเงื่อนไข” ที่สุกงอมพอ ชาวบ้านยังให้ความเชื่อถือฝ่ายรัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากกกว่า “คณะก้าวหน้า” ที่นำโดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล รวมไปถึงฝ่ายที่อ้างตัวเองว่าเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” ทั้งหลาย ในเวลานี้
สำหรับ “ไทม์ไลน์” การเคลื่อนไหวของกลุ่มธนาธร ก็ต้องยอมรับว่าได้จังหวะเหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากวันเวลา เริ่มจากเดือนพฤษภาคมตลอดทั้งเดือนต่อเนื่องกันไป เพราะตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม ก็จะมีการเปิดสภาฯสมัยสามัญ หากจะมีการเคลื่อนไหวก็สามารถขับเคลื่อนพร้อมกันได้ทั้งในและนอกสภาฯ
ในสภาฯก็มีพรรคก้าวไกลในสังกัด รวมไปถึงแนวร่วมฝ่ายค้านก็สามารถทำได้ ซึ่งเวลานี้ก็พยายามนำร่องด้วยการเรียกร้องให้ยกเลิกพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งก็เชื่อว่า อีกไม่กี่วัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็คงจะยกเลิกเมื่อครบกำหนดในปลายเดือนนี้ เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดจากเชื้อ โควิด-19 คลี่คลายลง และมีมาตรการผ่อนคลายลงไปเรื่อยๆ
นอกจากนี้ ยังต่อเนื่องไปถึงเดือนหน้า คือ เดือน “มิถุนายน” ที่เป็นวันรำลึก “อุดมการณ์คณะราษฎร” ที่พวกเขา โดยเฉพาะนายปิยบุตร แสงกนกกุล พยายามปูพื้น สานต่อมาอย่างต่อเนื่อง มีการเลียบๆ เคียงๆ เขย่าสถาบันฯ มีการเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ปฏิวัติในฝรั่งเศส ที่มีการล้ม “พระเจ้าหลุยส์ที่ 16” มาอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ยังไม่กล้าเอ่ยถึงตรงๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ดี แม้ว่านาทีนี้การเคลื่อนไหวของพวกเขามองจากแนวโน้มยังถือว่า “กระแสยังไม่มา” แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะเป้าหมายเป็นการปลุกเร้าไปที่บรรดาเด็กรุ่นใหม่ที่ “ร้อนวิชา” และเติบโตมาในสังคมแบบใหม่ รวมไปถึงมีการปล่อยชุดความคิดใหม่ๆ เข้าไปอย่างต่อเนื่อง ก็ถือว่าน่าจับตาไม่น้อย แต่ทุกอย่างอยู่ที่เงื่อนไข หากฝ่ายรัฐบาลไม่สร้างเงื่อนไข หรือตกหลุมการยั่วยุของอีกฝ่ายมันก็น่าจะประคองไปได้
ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวของ “สองเกลอ” ดังกล่าว ในอีกมุมหนึ่งมันก็เหมือนกับการ “เปิดหน้า” อย่างเต็มตัว ซึ่งที่ผ่านมาก็มีความพยายามให้เห็นหลายครั้ง แต่เมื่อพิจารณาจากความแหลมคมในแต่ละเรื่องแล้วถือว่า ยังห่างไกล ยังเทียบเคียงได้แค่ “นักกิจกรรมในรั้วมหาลัย” ยังไม่ใช่นักกิจกรรมในระดับชาติ แต่ก็ยังถือว่าต้องจับตามองอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น !!