xs
xsm
sm
md
lg

กลัว “ลุงตู่” จะปวดหัวไม่พอ ส.ส. “พลังประชารัฐ” เคลื่อนไหว “ปฏิวัติเงียบ” ฉวยวิกฤตโควิด-19 หวังผลปรับ ครม.ขอเก้าอี้ **มันยังไม่จบครับนาย! อัยการอายบ้างมั้ย? DSI ฟันธง เห็นแย้ง คดีฟอกเงินกรุงไทย “โอ๊ค-พานทองแท้” ต้องไปให้สุดทาง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ข่าวปนคน คนปนข่าว

**กลัว "ลุงตู่" จะปวดหัวไม่พอ ส.ส. "พลังประชารัฐ" เคลื่อนไหว "ปฏิวัติเงียบ" ฉวยวิกฤตโควิด-19 หวังผลปรับ ครม.ขอเก้าอี้


ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ยังดำเนินไปอย่างวางใจไม่ได้ และที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบร้ายแรงอย่างชนิดที่ไม่เคยมีมา ทุกภาคส่วนเศรษฐกิจ ปากท้องประชาชน สังคม ล้วนเจอ "วิกฤต" โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะต้องเยียวยาและฟื้นฟูกันนานแค่ไหน

ว่ากันว่า ตั้งแต่เกิดโควิด-19 มาก็ทำ "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม แก่ลงไปเยอะ ปวดหัวกับการรับมือสถานการณ์การต่อสู้กับโรค และแรงกดดันมหาศาลจากสังคมที่เดือดร้อน กระทั่งมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการล็อกดาวน์ ยิ่งหนักหนาสาหัส

ว่ากันอีกว่า แม้ "ลุงตู่" จะปวดหัวกับความพยายามทำเพื่อเอาชนะโควิด-19 แต่โชคก็ยังดีที่โควิด-19 กลับทำให้สถานการณ์การเมือง ดูเหมือนจะนิ่ง บรรดานักการเมือง พรรคร่วมรัฐบาลไม่มีทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีเรื่องเลอะเทอะ เล่นการเมืองกันเป็นการเมืองน้ำเน่าอย่างที่คุ้นๆ

ต้องบอกว่า การเมืองระหว่างพรรคดูนิ่งจริง พรรคร่วมสงบเสงี่ยมไม่ก่อเรื่อง แต่ในความนิ่งกลับมามีความเคลื่อนไหวของ "พรรคพลังประชารัฐ" พรรคของลุงตู่ ซะเอง !

แววว่า ตอนนี้ได้มีกลุ่ม ส.ส.กลุ่มใหญ่ กลุ่มที่ "คุณก็รู้ว่าใคร" ในพรรคพลังประชารัฐ กำลังจะขัดใจ "ลุงตู่" หรือกลัวลุงตู่จะปวดหัวกับวิกฤตโควิด-19 ไม่พอ พากันรวมตัวรวมก๊วนก่อหวอดเป็นคลื่นใต้น้ำ สำแดงพลังเพื่อเป็นอำนาจต่อรองกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในพรรค

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ปฏิบัติการนี้ได้เตรียมเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ เลือกจังหวะนี้เพราะคิดว่าสังคมและการเมืองกังวลกับโควิด-19 คงจะไม่มีใครมาสนใจ หรือตกเป็นข่าวใหญ่

เป้าหมายก็เพื่อนำไปสู่การทำ "ปฏิวัติเงียบ" ล้มล้างอำนาจภายในพรรค โดยบันไดขั้นแรกคือ ยื่นข้อเสนอขอให้กรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันลาออก หรือให้พ้นทางไปเสียก่อน ซึ่งนั่นจะเป็นบันไดต่อไปถึงการผลักดันเอาคน เอาพวกของตัวเองขึ้นมาคุม กุมหัวหน้าพรรคและตำแหน่งสำคัญๆ ไว้

จากนั้นก็จะต่อรอง เจรจากดดัน "ลุงตู่" ให้ปรับ ครม. ต่อรองขอเก้าอี้ตามโควตาให้แกนนำกลุ่มได้นั่งรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีช่วยอย่างเต็มที่

เรียกว่า หากไม่ทำเช่นนี้โอกาสในการปรับ ครม.เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีภายในพรรคก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จะอาศัยพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ให้เรียกร้องขอปรับ ครม. ก็ดูเป็นเรื่องที่ต้องรออีกนาน

ความไม่พอใจของกลุ่มก๊วนการเมืองในพรรคพลังประชารัฐ จริงๆ ก็เกิดขึ้นมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่หลังเลือกตั้ง แต่ละกลุ่มก็มองว่าตัวเองมีบทบาท และมีส่วนช่วยให้ "ลุงตู่" และทหารได้สืบทอดอำนาจกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลได้อีกครั้ง

อุตตม สาวนายน
ถ้ายังจำกันได้ การจัดตั้งรัฐบาลที่ทุลักทุเลส่วนหนึ่งก็เพราะการเมืองภายในพรรคพลังประชารัฐเอง ก็งัดข้อขอเก้าอี้ให้แกนนำก๊วน จน "ลุงตู่" ต้องลงทุนทำให้ทุกอย่างสงบด้วยตนเอง เกืดเป็นวลีตอกย้ำที่ว่า "ทุกอย่างสงบจบที่ลุงตู่"

ก่อนโควิด-19 ก็มีข่าวจะปรับ ครม. สงครามภายในก็ปะทุขึ้นมาอีกรอบ มีการนัด ส.ส.ในสังกัดมุ้ง อวดขุมพลังกันสองสามครั้ง เพื่อให้ "ผู้ใหญ่" ภายในพรรคเห็นถึงศักยภาพ และขอให้เปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค จาก "อุตตม สาวนายน" และ "สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์" ออกจากเลขาธิการพรรค

ฟังว่า การประลองกำลังภายในพรรควัดกันไปวัดกันมา ลามไปถึงการลากผู้หลักผู้ใหญ่เข้ามาเป็นแบ็กตัวเอง ถึงขึ้นยืมมือคนนอกพรรค ก่อสงคราม "นอมีนี" ก็เคยทำกัน แต่ก็คว้าน้ำเหลวไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจนมาถึงโควิด-19 ระบาด

ว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องของคนที่อยากเป็นรัฐมนตรี อยากมีบทบาท อยากคุมอำนาจ แต่อดรนทนไม่ได้ ไม่สนว่าประชาชนและประเทศกำลังเดือดร้อนจากพิษโควิด-19

งานนี้ ปฏิวัติพรรคสำเร็จ เก้าอี้ รมต.และตำแหน่งทางการเมืองนั้นไม่ไกลเกินเอื้อม เล่นทวงถามกันมาหลายรอบ ลุงๆ ก็เงียบ ก็เหลือแต่วิธีนี้

คราวนี้การเคลื่อนไหวดูจะรุนแรงกว่าทุกครั้ง อุปมาไม่ต่างจากลมมรสุมพายุฤดูร้อน ที่พร้อมทำลายทุกอย่าง

"ลุงตู่" ปวดหัวแน่ แต่จะทำอย่างไร ?

โปรดอย่ากะพริบตา


**มันยังไม่จบครับนาย! อัยการอายบ้างมั้ย? DSI ฟันธง เห็นแย้ง คดีฟอกเงินกรุงไทย "โอ๊ค-พานทองแท้" ต้องไปให้สุดทาง


พานทองแท้ ชินวัตร
หลังจากศาลยกฟ้อง "โอ๊ค" พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ทักษิณ ชินวัตร ไม่ผิดตามข้อกล่าวหาเป็นจำเลยร่วมกันฟอกเงิน แบงก์กรุงไทยที่ปล่อยกู้ให้เครือกฤษดามหานคร ซึ่งต่อมา คณะอัยการศาลสูงสุด มีมติเอกฉันท์ "ไม่อุทธรณ์คดี"

มติไม่อุทธรณ์ของอัยการ ได้สร้างความคลางแคลงใจต่อสังคมอย่างมากว่า เกิดอะไรขึ้น? อัยการซึ่งเปรียบเหมือนทนายของแผ่นดินและเป็นผู้ฟ้องคดีนี้ กลับไม่รักษาประโยชน์ของแผ่นดินโดยที่ไม่ไปให้สุดทางซึ่งก็คือการยื่นอุทธรณ์ โดยให้เหตุผลว่า "เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาล"

ขณะเดียวกัน ก็มีเสียงซุบซิบ ติฉินนินทาว่า ที่อัยการไม่อุทธรณ์ หรือว่าเพราะรัฐบาลเกี้ยเซียะ กับ "ทักษิณ ชินวัตร" ที่ยังคงมีบารมีในแวดวงการเมือง

ว่ากันว่า ภาพลักษณ์อัยการ ทำให้เกิดภาพหลอนย้อนอดีตที่เคยมีตัวอย่างคดีเลี่ยงภาษีหุ้นชินคอร์ป ของ "คุณหญิงอ้อ" พจมาน ชินวัตร เมื่อปี 2554 ในช่วง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี อัยการตัดสินใจไม่ยื่นฎีกาคดี ทำให้จบคดีลงโดยไม่มีการยื่นฎีกา ซึ่งเป็นที่คาใจของประชาชนมาจนถึงทุกวันนี้ ในจุดยืนของอัยการชุดนั้น

พออัยการเห็นว่าไม่อุทธรณ์ สังคมก็เลยมองว่า "คดีโอ๊ค" ก็น่าจะเป็นไปในทำนองเดียวกัน... "มันจบแล้วครับนาย"

คุณหญิงพจมาน ชินวัตร
แต่...ล่าสุด ดูทรงจะไม่จบเสียแล้วครับนาย เพราะว่าเมื่อวันที่ 24 เม.ย. 63 มีรายงานว่า ภายหลังดีเอสไอ ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณาในฐานะที่ ดีเอสไอได้สอบสวนคดีอาญาในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน ที่เกี่ยวข้องกับคดีการทุจริตรายการปล่อยเงินกู้กลุ่มกฤษดามหานคร ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นคดีพิเศษที่ 25/2560 มาตลอด จึงมีมติ "ไม่เห็นด้วย" กับความเห็นของอัยการคดีพิเศษ

ฟังว่า "ดีเอสไอ" พิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวน ความเห็นของพนักงานอัยการ และคำพิพากษาของศาล ทั้งที่พิพากษายกฟ้อง และที่ทำความเห็นแย้งไว้ท้ายคำพิพากษา ประกอบกับความเห็นของพนักงานอัยการที่เห็นควรไม่อุทธรณ์คำพิพากษาแล้ว เห็นว่ายังมีประเด็นสำคัญแห่งคดีที่ควรต้องนำสู่การพิจารณาของศาลสูง เพื่อวินิจฉัย

สรุปว่า "ดีเอสไอ" เห็นว่า อัยการคดีพิเศษควรต้องยื่นอุทธรณ์ และส่งเรื่องกลับไปให้อัยการคดีพิเศษต่อไป

เรื่องนี้ต้องชื่นชมดีเอสไอ ที่ทำหน้าที่ที่จะผลักดันคดีให้ไปสุดทาง ผลจะออกมาอย่างไรก็ว่ากันตามกระบวนการยุติธรรม

สำหรับกับอัยการ นอกจากทำให้ประชาชนพากันตั้งคำถามถึงการทำหน้าที่คราวนี้ เมื่อ "ดีเอสไอ" เห็นแย้งขึ้นมา ก็ต้องถามต่อด้วยว่า อายบ้างมั้ย เพราะต้องไม่ลืมว่า คดีฟอกเงินและทุจริตแบงก์กรุงไทยปล่อยกู้กฤษดามหานครนั้น มีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมากต้องคำพิพากษา ถูกตัดสินจำคุก ปัจจุบันนี้มีทั้งพ้นโทษแล้ว และยังอยู่ในคุกอีกบางส่วน

ท่านไม่ละอายใจต่อพวกเขาเหล่านั้นบ้างเลยหรือ ?

คดีนี้จะไปสุดทางหรือไม่ ก็คงต้องติดตามดูกันต่อไป.




กำลังโหลดความคิดเห็น