xs
xsm
sm
md
lg

ดรามาค่าไฟแพง การไฟฟ้าตอบประชาชนไม่ได้ พาลใช้วิชามาร โบ้ย-ป้ายสี “สนธิ” คนเปิดประเด็น **เมื่อเจ้าของโรงเรียนอินเตอร์ดัง ใหญ่กว่าเจ้ากระทรวงศึกษาฯ “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” ไม่สนโควิด-19 เคลื่อนไหวขอเปิดเรียน พ.ค.นี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

** ดรามาค่าไฟแพง การไฟฟ้าตอบประชาชนไม่ได้ พาลใช้วิชามาร โบ้ย-ป้ายสี “สนธิ” คนเปิดประเด็น

ค่าไฟแพง ยังคงเป็นดรามาที่ต้องพูดกันให้เคลียร์

ขณะที่มีกระแสเรียกร้องระงมไปทั้งแผ่นดินว่าค่าไฟแพง ซ้ำเติมวิกฤตโควิด-19 รัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง กฟผ.-กฟน.และ กฟภ. ไม่คิดจะ “เสียสละ” ช่วยเหลือประชาชนบ้างเลยหรือ?

ตลอดวัน หนึ่งผู้บริหารการไฟฟ้าและฝ่ายประชาสัมพันธ์เดินสายออกสื่อ กะว่าจะลดกระแสดรามา กลับโดนชาวบ้านด่า กลับยิ่งหนักกว่าเดิม ถามม้าตอบควายไปเรื่อย อธิบายที่มาของ “ค่าไฟ” ว่าคิดอัตราอย่างไร ใช้มากก็คิดอัตราก้าวหน้า มันก็เลยแพง และเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวไหนที่กินไฟ แอร์เปลืองก็ให้ใช้พัดลม เรียกร้องให้ประชาชนประหยัดไฟฟ้า ใช้อย่างฉลาด แทนการมาชี้แจงค่าไฟแพงไปเสียฉิบ

ตอบอย่างนี้ท่านเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่ ท่านเข้าใจหรือไม่ว่านี่เป็นภาวะที่ไม่ปกติ! ไม่ใช่บ้านเมืองปกติจะมาท่องคาถาเบอร์ 5 เท่ๆ

การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นวิกฤตการณ์ร้ายแรง ทั่วโลกประสบปัญหา จนรัฐบาลต้องประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และในที่สุดประกาศเคอร์ฟิว ก็ขอให้ประชาชน “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” สถานประกอบการ ธุรกิจน้อยใหญ่ให้ทำงานอยู่บ้าน และที่ผ่านมาประชาชนก็ให้ความร่วมมือเต็มที่

ตอนนี้ประชาชนเดือดร้อน ทุกข์แสนสาหัส ค่าไฟแพงระยับเพราะต้องอยู่บ้าน พอบิลค่าไฟมาก็ช็อก เขาไม่มีรายได้ ไม่มีเงินจ่าย ก็คาดหวังว่ารัฐวิสาหกิจเหล่านี้จะช่วยเต็มที่ ตรงนี้ต่างหากที่เป็นประเด็น

พอตอบคำถามไม่ได้ กระแสไม่หยุด ทางหนึ่งก็ตอบโต้ใช้ลูกไม้วิชามาร ส่งปฏิบัติการข่าว หรือ IO ลงสื่อโซเชียลฯ ไล่ถล่มเขาเมามัน

เห็นได้ชัดว่าใครที่ออกมาเรียกร้องโจมตีการไฟฟ้า โดน “ด้อยค่า” หาเรื่องมาทำลายกันเป็นแถว

หนึ่งในนี้ที่โดนหนักๆ คือ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ที่ไลฟ์สดในเพจ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยเปิดประเด็นให้รัฐบาลหันมาดูค่าไฟให้จริงจัง นอกจากลดเหมือนไม่ลด 3% กำหนดเงื่อนไขแบบไม่จริงใจ ขณะที่ประชาชนเดือดร้อน “สนธิ” ชี้ว่า การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งนี่ละตัวปัญหา กลับอยู่ดีมีสุข กำไรแต่ละปีมหาศาล การันตีโบนัสกันอย่างน้อย 2-3 เดือน ภาพมันตรงกันข้ามกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 จวนเจียนตาย

การไฟฟ้ากล้าประกาศมั้ยว่า จะ “เสียสละ” ความสบายที่เคยชิน สวัสดิการทั้งหลายแหล่ มาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนทั้งประเทศ ... นี่เป็นการทำหน้าที่สื่อมวลชนที่สะท้อนปัญหาและเสนอแนะทางออกให้สังคม

ล่าสุด “สำนักข่าวอิศรา” ไปขุดคุ้ยมาว่า ก่อนดรามาค่าไฟแพง 3 รัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฯ ปี 62 มีรายได้ 6.8 แสนล้าน แต่นำส่งให้รัฐที่ชอบอ้างเสมอว่าเก็บค่าไฟทำกำไรมาก็ส่งให้รัฐ จริงๆ ส่งแค่ 3.5 หมื่นล้าน!

ไม่ต้องพูดมาก เจ็บคอ นี่ก็พิสูจน์ไปในตัว... ของแบบนี้ตรวจสอบกันได้อยู่แล้วว่า ที่ “สนธิ” พูดไป ใช่หรือไม่ใช่!

สนธิ ลิ้มทองกุล
เมื่อตอบคำถามสังคมไม่ได้ เหล่ามนุษย์ไฟฟ้าจึงวิชามาร ใช้ IO เพื่อดิสเครดิต “สนธิ” ผู้เปิดประเด็นให้ชาวไทยเห็นจนยอดวิวเป็นล้าน โดยไปขุดข่าวเก่าที่เสนอผ่านเว็บไซต์ “เอ็มไทย” เมื่อตุลา 2008 มาแชร์ใหม่ โดยข่าวชิ้นนี้พาดหัวว่า “สนธิโกงเงินกองทุนเลี้ยงชีพพนักงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิต”

ลองมาข่าวนี้ดูกันสักนิด อ้างแหล่งข่าวจากผู้บริหาร กฟผ.ระบุว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2543 แต่พนักงานมารู้จากช่วงที่มีการนำเสนอข้อมูลภาระหนี้สินของบริษัท เดอะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จำนวนมากกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งมีรายการหนี้สิน ที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เป็นเจ้าหนี้อยู่ด้วย เป็นเงินจำนวนมากถึง 53.68 ล้านบาท

ข่าวบรรยายว่า พอพนักงาน กฟผ.ทราบก็อึ้ง-เพิ่งรู้ตัว และระบุว่าถูก “สนธิ” เชิดเงินจำนวนนี้ไป

ในเนื้อหายังกล่าวถึง ต่อมาผู้บริหารคือนายสนธิ ยังถูก ก.ล.ต.ฟ้องข้อหาปลอมแปลงเอกสาร และฉ้อโกงประชาชนด้วย การปลอมมติผู้ถือหุ้น บริษัท เดอะแมเนเจอร์ มีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไออีซี มาค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัท เดอะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

(ใครอยากจะอ่านเต็มๆ เชิญคลิกอ่านได้ ที่ https://talk.mthai.com/politics/21676.html)

เรียกว่า เนื้อหามี 30% ความเท็จใส่ร้ายป้ายสี 70% เจตนาจงใจให้เกิดความเกลียดชังแก่ “สนธิ” คนที่วิพากษ์วิจารณ์การไฟฟ้านั่นเอง

ทีนี้มาดู ความจริงก็คือความจริง กรณีนี้เป็นความผิดของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” หรือไม่ ผู้ใช้วิจารณญาณดูก็จะรู้ว่า เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของการไฟฟ้านั้น ทางผู้บริหาร กฟผ.ได้มอบหมายให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้เป็นผู้บริหาร หรือดูแลเอาไปลงทุนสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่กองทุน เกิดดอกออกผลให้พนักงาน และในขณะนั้นบริษัท เอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กำลังเป็นที่สนใจของนักลงทุน ไม่ต่างอะไรจากหุ้นบริษัทพลังงานหลายๆ บริษัทในขณะนี้

ต่อมาเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 2540 หรือวิกฤตต้มยำกุ้ง ได้ส่งผลกระทบที่รุนแรง เศรษฐกิจเสียหาย ธุรกิจพากันล้มตาย ในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน กฟผ.ที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ทิสโก้ บริหารก็กระทบตาม และต่อมากระทบสถาบันการเงินไฟแนนซ์ 56 แห่งถูกสั่งปิด เป็นเรื่องที่สุดวิสัยอีกเช่นกัน ประวัติศาสตร์ส่วนนี้ไม่มีใครบิดเบือนได้ เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมแก่ “สนธิ” ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยกับการลงทุนของทิสโก้ในเอ็มกรุ๊ป

ต่อมาหนี้สินของเดอะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จำนวนกว่า 6,000 ล้านบาท ที่ว่านั้น เป็นหนี้ที่มีนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้ค้ำประกันก็เช่นกัน ภายหลังที่ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ในปี 2540 ธุรกิจ-เศรษฐกิจ ได้รับผลกระทบเป็นโดมิโนอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด “สนธิ” ได้แสดงให้เจ้าหนี้เห็นว่าสามารถจะชำระนี้ได้ แต่เจ้าหนี้ก็เลือกที่จะฟ้องศาล และศาลได้สั่งให้ล้มละลายในเวลาต่อมา ไม่ได้เป็นความตั้งใจของสนธิเลยแม้แต่น้อย

มาถึงประเด็นที่ให้ร้ายกรณี “สนธิ” ถูก ก.ล.ต.ฟ้องข้อหาปลอมแปลงเอกสาร และฉ้อโกงประชาชนด้วยการปลอมมติผู้ถือหุ้นบริษัท ต้องอธิบายว่า เหตุมาวิกฤตเศรษฐกิจอีกเช่นกัน “สนธิ” ที่โดนคดีคือ พระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ไม่ใช่คดี “ฉ้อโกงประชาชน” ตามที่กล่าวหา

เรื่องคือว่า “สนธิ” ไปเอาบริษัทที่บริหารอยู่ คือ บริษัทหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ขณะนั้น ไปค้ำประกันบริษัท เอ็มกรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทอีกบริษัทหนึ่งอยู่ข้างนอก

และที่ต้องให้ความเป็นธรรมกันก็คือ ช่วงเวลาวิกฤตเศรษฐกิจ ทุกคนทำกันหมดในลักษณะนี้แบบนี้ แต่เผอิญทาง ก.ล.ต.จะด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่ทราบจึงดำเนินคดีทุกคน รวมทั้งสนธิด้วย ถูกปรับคนละ 5 แสน ซึ่งก็ควรจะจบกันไป

ทว่า มี “สนธิ” คนเดียวที่ไม่ถูกปรับ 5 แสนเท่านั้น เพราะกฎหมายระบุว่า ปรับ หรือจำ หรือทั้งปรับทั้งจำ จึงมีการตัดสินใจส่งเรื่องของสนธิไปดำเนินคดี คือไปค้ำประกันบริษัท เอ็มกรุ๊ป นั่นเอง

นี่เป็นเรื้องที่เกิดขึ้นแล้ว “สนธิ” ถูกบิดเบือนว่าฉ้อโกงประชาชน โยงไปถึงกองทุนของพนักงาน กฟผ.

ข่าวบิดเบือนมาโจมตีกันใหม่เวลานี้ ใครที่กล่าวหา “สนธิ” ฉ้อโกง หรือโกงพนักงาน กฟผ.ก็ระวังเตรียมตัวไว้หน่อยก็ดี งานนี้เจอกันที่ศาล อย่ามาดรามาก็แล้วกัน

** เมื่อเจ้าของโรงเรียนอินเตอร์ดัง ใหญ่กว่าเจ้ากระทรวงศึกษาธิการ “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” ไม่สนโควิด-19 เคลื่อนไหวขอเปิดเรียน พ.ค.นี้

ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ
ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงล่าสุด (20 เม.ย.) พบผู้ป่วยยืนยันรายใหม่ 27 ราย รักษาหายกลับบ้านได้ เพิ่มเติม 71 ราย ส่งผลให้ผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 2,792 ราย ขณะนี้ผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้าน มียอดรวมแล้ว 1,999 ราย ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 746 ราย ส่วนผู้ป่วยเสียชีวิตสะสม ยังเท่าเดิม 47 ราย

พอยอดผู้ติดเชื้อที่อยู่ในระดับต่ำมาหลายวัน ขณะที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กำหนดมาตรการเข้มเอาไว้ถึง 30 เม.ย.นี้ จึงมีคำถามว่า อะไรที่ห้าม หรือที่ “ปิด” จะกลับมา “เปิด” ได้เลยหรือไม่ เช่น ห้างสรรพสินค้าเจ้าใหญ่เจ้าดัง ของตระกูลมหาเศรษฐีติดอันดับของเมืองไทย ที่ประกาศแล้วว่า จะกลับมาเปิดบริการตั้งแต่ 1 พ.ค.นี้

แว่วว่า ไม่เฉพาะห้างที่จะขอเปืดบริการ “โรงเรียนนานาชาติ” หลายโรงตอนนี้ก็เคลื่อนไหวจะกลับมาเปิดต้นเดือนพ.ค.นี้ให้ได้เช่นกัน โดยมีบางกลุ่มได้ส่ง จม.ถึงผู้ปกครองของนักเรียน อ้างว่ากระทรวงศึกษาธฺการอนุญาตให้เปิดเรียนได้แล้ว

พร้อมๆ กับแนบประกาศของกระทรวงศึกษาที่ลงนามโดย “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 63 กำหนดให้ โรงเรียนในระบบทั้งรัฐและเอกชน เลื่อนเปิดเทอมออกไปเป็นวันที่ 1 ก.ค. 63 สำหรับโรงเรียนนานาชาติ ที่ช่วงเวลาปิด-เปิดเทอมไม่ตรงกับโรงเรียนทั่วไป ก็ให้เปิดได้ทันทีตามเหมาะสม แต่ต้องปรับการเรียนการสอนให้สอดคล้องภับภาวะการณ์ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในแต่ละพื้นที่ด้วย

ไม่ใช่แค่อ้างกระทรวงศึกษาฯ อนุญาต กลุ่ม ร.ร.เหล่านี้ซึ่งมีอยู่ 4-5 โรง ยังอ้างเหตุผลที่จะต้องกลับมาเปิดโดยเร็วให้ได้ เพราะว่าเด็กเล็กไม่สามารถเรียนออนไลน์ได้ ส่วนเด็กโต ให้เรียนได้แต่จะลดค่าเรียนให้ได้แค่เล็กน้อย

คำถามที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ข้องใจ คือ มันใช่เวลาที่เหมาะสมแล้วหรือไม่? สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคยังไม่นิ่งเลย ขณะเพื่อความชัวร์ ผู้ปกครองหลายคนก็พากันเช็กไปที่โรงเรียนอินเตอร์อีกหลายแห่ง ส่วนใหญ่ยังคงให้ความร่วมมือภาครัฐ และเน้นความปลอดภัยมาก่อนโดยกำหนดไว้เท่าๆ กับโรงเรียนในระบบที่จะเปิดเดือน ก.ค.นู่นเลย

ขณะที่ ศบค.โดย นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกฯ บอกว่า แม้กราฟจะยังคงที่คงตัว แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้ เพราะเพื่อนบ้านของประเทศไทย เมื่อผิดพลาดเล็กน้อยก็ทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้

เรียกว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้ โรงเรียนอินเตอร์ 4-5 โรงนี้ สวนทางกับเพื่อนๆ โรงเรียนด้วยกัน

คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยว่า นี่น่าจะเป็นความต้องการของเจ้าของโรงเรียนอินเตอร์กลุ่มนี้ล้วนๆ ที่ไม่ต้องการให้ปิดโรงเรียนยาวนานไป เพราะนั่นหมายถึงการขาดรายได้ไปมหาศาล โดยที่มั่นใจในตัวเองสูง จะสามารถสร้างความปลอดภัยของนักเรียนได้ ทั้งๆ ที่จริงก็ยากที่จะรับประกัน

ข่าววงในบอกว่าเบื้องหลังความเคลื่อนไหวของ ศธ.เปิดโรงเรียนครั้งนี้ แกนนำกลุ่มเป็นโรงเรียนอินเตอร์ดังในพื้นที่ชลบุรี ซึ่งเจ้าของมีสัมพันธ์แนบแน่นกับคนในรัฐบาล “เส้นใหญ่” แค่ไหนคงต้องถาม “ณัฏฐพล” รมว.ศธ.

ว่ากันว่า เจ้าของโรงเรียนนี้จะพูดกับ “ณัฏฐพล” เวลาไหน ยังไงก็ได้ รมว.ให้ความเกรงอกเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง!

ในที่สุด กลุ่มนี้ก็สมหวัง จนนำไปแจ้งต่อผู้ปกครองนักเรียน ว่าจะกลับมาเปิดแล้วนะ 1 พ.ค.นี้

ทว่า เฮกันไปไม่ทันข้ามคืน คล้อยหลังไม่นาน พอหน่วยงานที่ดูแลโรงเรียนนานาชาติ มาดูสถานการณ์ และ มีแนวโน้มว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะขยายเวลามาตรการออกไป ก็เกรงว่าถ้าปล่อยให้กลุ่มนี้เปิดเรียนก่อนชาวบ้าน จะมีปัญหาตามมาแน่

แว่วว่า ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (ศช.) มีหนังสือแจ้งไปที่โรงเรียนอินเตอร์กลุ่ม “เส้นใหญ่” แล้วให้ยกเลิกประกาศเปิดเรียน เพราะไม่อาจไปประกาศล่วงหน้าก่อนประกาศของสถานการณ์ฉุกเฉิน ออกได้ การไปประกาศล่วงหน้า ประกาศเปิดเผย จะสร้างความสับสนประชาชน และแรงกดดันโรงเรียนอื่นๆ จึงได้สั่งเพิกถอนประกาศทั้งหมดแล้ว และ วันที่ 21 เม.ย. 63 ทาง สช. จะมีหนังสือซักซ้อมความเข้าใจไปอีกครั้งหนึ่ง เพื่อปฏิบัติได้ตามแนวเดียวกัน

วงแตกกันไป!

งานนี้ ระหว่างเจ้าของโรงเรียนอินเตอร์ชื่อดัง กับ “รมว.ณัฏฐพล” สงสัยคงต้องเคลียร์กันเอาเองละ





กำลังโหลดความคิดเห็น