xs
xsm
sm
md
lg

ล่อเป้า!! เมื่อ “หม่อมปลื้ม” ไม่ปลื้ม ด่า ครม.ทุเรศ เลื่อนเปิดเทอมออกไปยาวถึง ก.ค.จากพิษโควิด-19 ** ลูกใครไม่สำคัญ ถ้าทำผิดกฎหมายต้องได้รับโทษ ไม่มียกเว้น “ผู้ว่าฯ พิษณุโลก” ประกาศชัด เมื่อลูกสาวถูกจับฝ่าฝืนเคอร์ฟิว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว



**ล่อเป้า!! เมื่อ “หม่อมปลื้ม” ไม่ปลื้ม ด่า ครม.ทุเรศ เลื่อนเปิดเทอมออกไปยาวถึง ก.ค.จากพิษโควิด-19 เจอโต้กลับ คิดสิคิด !! กับความจริงวันนี้ “การ์ดต้องไม่ตก”

พลันที่ ครม.มีมติเลื่อนการเปิดเทอมภาคเรียนแรก ประจำปีการศึกษา 2563 จากเดิมวันที่ 16 พ.ค. 63 ไปเป็นวันที่ 1 ก.ค. 63 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 รวมทั้งการปรับวิธีการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับการเลื่อนเปิดเทอมดังกล่าว

หม่อมหลวง ณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือ “หม่อมปลื้ม” พิธีกร และผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ อดรนทนไม่ได้ จึงโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว M.L.Nattakorn Devakula เนื้อความระบุว่า “1408 รายรักษาตัว ติดเชื้อเพิ่ม 38 เสียชีวิตเพิ่ม 1 เสนอเลื่อนเปิดเทอมไปหาอะไร? ! การเรียนสำคัญ คิดหน่อยสิครับ เอะอะก็เลื่อน ก็ปิด”

มิเพียงเท่านี้ “หม่อมปลื้ม” ยังโพสต์ผ่านทวิตเตอร์ด้วยว่า “ให้เด็กกลับไปเรียน พอกันทีกับการปิดโรงเรียนอย่างไร้เหตุผล รัฐพรากการศึกษาไปจากลูกลูก หลานหลานของเรามานานพอเเล้ว ทั้งมหาวิทยาลัย โรงเรียนกวดวิชา และโรงเรียนอินเตอร์ รวมทั้งการเตรียมการเรียนการสอนในโรงเรียนของรัฐเเละเอกชนไทยปกติที่ต้องมีอยู่ในเวลานี้”

ไม่มีเหตุผลรองรับสำหรับการให้ปิดสถานการศึกษาอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่การระบาดในประเทศไทยนั้นคุมอยู่ได้เเล้ว อัตราการติดเชื้อใหม่ เเละเสียชีวิตถือว่าต่ำมาก และต่ำกว่าโรคอื่นเยอะหลายโรค รัฐบาลกรุณาถอยบ้าง”

“ไม่ใช่เเค่เศรษฐกิจที่ทำพังลงไปกับมือ แต่การดีเลย์การศึกษาออกไป คนที่ต้องจ่ายคือเด็กและเยาวชน รัฐต้องหยุดนโยบายที่มักง่าย และสิ้นคิด เอาโรงเรียนของลูกเราคืนมา แล้วเอาเศรษฐกิจของเรากลับมาอีกด้วย มันคุมไวรัสได้ถึงเเม้ว่าเปิดทุกอย่าง ฝึก Physical Distancing ให้กับทุกคน”

"เด็กไม่ได้เรียนหนังสือ เเต่พวกคุณได้มาทำงานเหรอครับ ? ขอร้อง..ทุเรศ"

ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล
เรียกว่า "หม่อมปลื้ม" ไม่ปลื้ม!! วิพากษ์ใส่รัฐบาลไปเต็มๆ และแน่นอนโพสต์นี่สร้างกระแสในโลกออนไลน์ทันที แล้วความเห็นต่างกับหม่อมปลื้ม ก็ตามมา เกิดเป็นดรามา “คิดสิคิด”ชาวโซเชียลฯส่วนใหญ่อยากให้หม่อมปลื้มคิดสักหน่อย สถานการณ์แพร่ระบาดยังไม่น่าวางใจ เปิดเทอมไปลูกหลานติดเชื้อก็จะแย่หนักกว่า...

หนึ่งในนั้น คือ “นริศโรจน์ เฟื่องระบิล”อดีตเอกอัครราชทูตไทย โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุข้อความว่า “รำคาญเหลือเกินแล้ว ก็ตัวเลขมันยังไม่นิ่ง โอกาสที่ตัวเลขจะดีดกลับมาสูงอีกเกิดได้ทุกขณะ ถ้าเราเผลอ ดูญี่ปุ่นเป็นตัวอย่าง ตอนแรกลดลงนึกว่าคุมได้ ที่ไหนได้ ตอนนี้ดีดกลับพุ่งขึ้นมาอีก !”

ว่ากันตามตัวเลข ที่ ศบค.แถลงวันก่อน ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไทยเพิ่ม 51 คน และ ล่าสุด 7 เม.ย. อยู่ที่ 38 คน ดูเหมือนจะเป็นสัญญานดี ที่หลายๆ คนปลื้ม ซึ่งวัดตามอารมณ์ความรู้สึก ย่อมทำให้สังคมมีความหวัง เป็นเรื่องน่ายินดี

มองมุมนี้โพสต์ดรามาดุเดือดเลือดพล่านของ "หม่อมปลื้ม" อาจจะไม่ผิด ขณะที่การศึกษาของเด็กๆ เยาวชนก็สำคัญ แต่หม่อมปลื้ม ก็ต้องมองในมุมของความเป็นจริงด้วยหรือไม่ว่า ในสถานการณ์จริง กทม. ยังมีอัตราการแพร่ระบาดที่สูง ขณะที่ตามต่างจังหวัด มาตรการก็เข้มข้นขึ้น เช่น ที่พัทยา-ภูเก็ต ปิดเมือง อีกกว่า 10จังหวัด ห้ามคนเข้า-ออก บ่งบอกว่าไวรัสโควิด-19 ยังไม่น่าวางใจ

ภาษา "นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน" โฆษกศบค.เรียกวา " การ์ดต้องไม่ตก" หากตกเมื่อไร มีสิทธิ์จะถูกน็อกได้ !!

จริงๆแล้ว เรื่องนี้ ตัองฟังหมอผู้เชี่ยวชาญ มากกว่าจะมาวัดกันที่ "ความรู้สึก"

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ
ชัดๆ จาก “หมอยง”ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พูดถึงเรื่องนี้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุสถานการณ์ในตอนนี้ว่า …

"โควิด-19 มาตรการควบคุมโรค เราเดินมาถูกทางแล้วหรือไม่ การระบาดของโรค จำต้องมีมาตรการต่างๆ ตามความเหมาะสม ลดความรุนแรงของการระบาดและการสูญเสียต่อการเจ็บป่วย และเสียชีวิต และให้กระทบต่อคนทั่วไปน้อยที่สุด หลังการระบาดใหญ่ที่สนามมวย และสถานเริงรมย์ ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าเป็นห่วง จึงมีมาตรการเพิ่มขึ้น เพื่อควบคุมโรคให้ได้ แนวโน้มของโรคลดลง และวันนี้ พรุ่งนี้ ก็ชื่อว่าจะลดลงอีก...

ในขณะนี้เราจะเห็นว่าแนวโน้มของ โควิด-19 ทรงตัว และดูเหมือนจะดีขึ้นกว่าหลายประเทศ แต่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ถ้าดูในเชิงคณิตศาสตร์ อัตราการเพิ่มอำนาจการกระจายโรค ในธรรมชาติของโรค จะอยู่ที่ 2.5 หมายความว่า ผู้ป่วย 1 คน แพร่กระจายไปได้ 2.5 คน แต่ช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขนี้ อยู่ที่ประมาณ 1.5 แสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วย 1 คน แพร่กระจายไปได้ 1.5 คน ลดลงจากการกระจายตามธรรมชาติ ด้วยมาตรการต่างๆ ที่เข้มแข็งขึ้น แต่ตัวเลขนี้ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ เราต้องการให้เหลือ 1 หรือน้อยกว่าหนึ่ง ให้ได้ โรคจึงจะลดลงและค่อยๆ หมดไป

การเติมตัวเลขการระบาดให้สูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะทางยุโรปและอเมริกา และเพื่อนบ้าน ส่วนหนึ่งเกิดจากการติดต่อภายในประเทศ จากแหล่งชุมชน เราจึงพยายามปิดทุกช่องทาง ผมเองเชื่อและหวังว่า ผู้ที่ติดเชื้อวันนี้และพรุ่งนี้ จะต้องน้อยลงอีก นักข่าวถามผมว่า มาตรการของรัฐบาล ถ้าคะแนนเต็ม 10 จะให้เท่าไหร่ ผมตอบได้ทันทีเลยว่า ถ้าจะให้คะแนน ต้องให้คะแนนกับพวกเราทุกคน รวมทั้งนักข่าวเองด้วย ว่าจะให้คะแนนตัวเราเท่าไหร่ เรามาลองให้คะแนนตัวเราดูก็ได้ว่า จะให้กี่คะแนน ถ้าคะแนนเต็ม 10 สิ่งที่มีความหวัง ถ้าทุกคนทำได้เต็มสิบ ตามมาตรการที่มีอยู่ขณะนี้ ตัวเลขแต่ละวันจะ ต้องลดลงอย่างแน่นอน การต่อสู้ครั้งนี้ยังอีกยาวไกล"

งานนี้ ใครจะดรามา จะด่าใครว่า ทุเรศ ก็ใจเย็นๆ กันนิดนึงมั้ย !!


** ลูกใครไม่สำคัญ ถ้าทำผิดกฎหมายต้องได้รับโทษ ไม่มียกเว้น "ผู้ว่าฯพิษณุโลก" ประกาศชัด เมื่อลูกสาวถูกจับฝ่าฝืนเคอร์ฟิว

พิพัฒน์ เอกภาพันธ์
หลังจาก "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประกาศ "เคอร์ฟิว" ทั่วประเทศ ห้ามประชาชนออกจากเคหสถาน ตั้งแต่เวลา 4 ทุ่ม ถึงตี 4 ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา...ตามมาตรการหยุดยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพราะก่อนหน้านั้น แม้จะมีการสั่งปิดห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร สถานบันเทิง ห้ามมั่วสุม... แต่ก็ยังมีกลุ่ม "โควิเดียด" (โควิด+อีเดียด) ฝ่าฝืน จับกลุ่มสังสรรค์กันตามที่สาธารณะ จนดึกดื่น โดยไม่มีจิตสำนึกในการร่วมมือ ร่วมใจ ป้องกันการแพร่ระบาดของโรค

และแม้ว่าจะมีการประกาศ "เคอร์ฟิว"ไปแล้ว ก็ยังคงมีผู้ฝ่าฝืนโดยไม่มีเหตุอันควร จนถูกจับกุม ดำเนินคดีไปแล้วหลายร้อยราย...ล่าสุดที่เป็นข่าวฮือฮา ดรามาในโซเชียลฯ ก็คือกรณีของ "ลูกสาวผู้ว่าฯพิษณุโลก" ที่ถูกด่านตำรวจ จ.มุกดาหาร จับกุมฐานฝ่าฝืนคำสั่งเคอร์ฟิว

เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 22.30 น. ของวันที่ 6 เม.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจมุกดาหาร ตั้งจุดตรวจตามมาตรการเคอร์ฟิว ที่บริเวณสี่แยกไฟแดง เมืองใหม่ ก็ปรากฏว่ามีรถเก๋ง บีเอ็มดับเบิลยู สีดำ หมายเลขทะเบียน 5กธ 1986 กรุงเทพมหานคร ขับผ่านมา โดยในรถมี น.ส.อภิญญา ขำสุภาพ อายุ 19 ปี และ น.ส.เปรมประภา เอกภาพันธ์ อายุ 29 ปี เป็นผู้ขับ...ซึ่งตามรายงานข่าวระบุว่า คนขับมีอาการคล้ายเมาสุรา เมื่อถูกเรียกตรวจ กลับโวยวาย ด่าทอ เจ้าหน้าที่ตำรวจ แถมยังอ้างว่าตัวเองเป็น "ลูกผู้ว่าฯพิษณุโลก" ... แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มิได้ละเว้น จึงแจ้งข้อกล่าวหา ทั้ง 2 คน ฝ่าฝืน พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน

เมื่อเป็นเรื่องเป็นราว เป็นข่าวขึ้นมา ก็เกิด"ทัวร์ลง" ในสังคมโซเชียลฯ กระหน่ำว่าเป็นถึงลูกผู้ว่าฯ แทนที่จะมีจิตสำนึก ให้ความร่วมมือในการต่อต้านการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ทั้งรัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์ และสังคมโดยรวมกำลังร่วมกันต่อสู้ เหนื่อยสายตัวแทบขาด... แต่นี่กลับทำตัวสวนกระแส เป็นพวก "โควิเดียด"...

ยิ่งมาบอกว่าเป็นลูก "ผู้ว่าฯพิษณุโลก" ก็เลยยิ่งมีการนำไปโยงกับเหตุการณ์เมื่อช่วงกลางเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ช่วงนั้นเชื้อโควิด-19 กำลังเริ่มมีทีท่าว่าจะแพร่ระบาดรุนแรง หลังเกิดเหตุการณ์ "สนามมวยลุมพินี" และ"ผับทองหล่อ"... ทางรัฐบาลก็สั่งปิดแหล่งที่เป็นที่ชุมนุมของคนหมู่มาก อย่างสนามกีฬา สนามมวย บ่อนไก่ งดการจัดคอนเสิร์ต โรงเรียน สถาบันกวดวิชา ถูกสั่งปิด...

ในครั้งนั้น "นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์" ผู้ว่าฯพิษณุโลก ก็เชิญผู้ประกอบการโรงแรม รีสอร์ต สถานบันเทิง มาประชุมหารือที่ศาลากลางจังหวัด ก่อนถามความเห็นตามวิถี "ประชาธิปไตย" ให้บรรดาผู้ประกอบการ "โหวต" ว่าเห็นควรที่จะปิดโรงแรม สถานบันเทิง ผับ บาร์ ในพื้นที่หรือไม่... ปรากฏว่า ผลโหวตออกมาคือ "ไม่ปิด"

"ผู้ว่าฯพิษณุโลก" ก็เลยโดนกระแสสังคมรุมถล่มว่าใช้ประชาธิปไตย ผิดที่ ผิดเวลา จนต้องออกมาประกาศกลับลำในวันรุ่งขึ้น...ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้น ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของท่านผู้ว่าฯ

มาครั้งนี้ เมื่อ "ลูกสาว" ทำความผิด ฝ่าฝืนประกาศเคอร์ฟิว จนเกิดกระแสดรามาในโซเชียลฯ ... "ผู้ว่าฯพิพัฒน์" ก็โพสต์ชี้แจงผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า... "ลูกของใครไม่สำคัญ ลูกชาวบ้าน ลูกกำนัน # ลูกผู้ว่าฯ ถ้าผิดกฎเคอร์ฟิว # ให้ลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมอย่างถึงที่สุด ไม่มีข้อยกเว้นครับ # กฎหมายต้องเป็นกฎหมายไม่มีข้อยกเว้นสำหรับใครครับ " ...

การแสดงท่าทีอย่างชัดเจนที่จะไม่ใช้อำนาจ หน้าที่ ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัด มาปกป้อง ให้ท้าย "ลูกสาว" ที่ทำผิดกฎหมาย...ทำให้มีประชาชนเข้ามาโพสต์ แสดงความเห็นอกเห็นใจ และให้กำลังใจ"ผู้ว่าฯพิษณุโลก" กันเป็นจำนวนมาก ว่าทำถูกต้องแล้ว เรื่องส่วนรวม ต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัว ...

ถึงบรรทัดนี้ก็ต้องขอร่วมแสดงความชื่นชม ให้กำลังใจ "ผู้ว่าฯพิพัฒน์" ที่มีหัวใจเป็นนักปกครองอย่างแท้จริง ให้ความสำคัญกับการรักษากฎหมาย เหนือความสัมพันธ์ทางครอบครัว โดยเฉพาะในยามที่ประเทศชาติต้องการความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ ในการต่อสู้กับวิกฤตโควิด-19





กำลังโหลดความคิดเห็น