เมืองไทย 360 องศา
เหมือนกับการไปจี้จุดหรือโดนเอาต่อมอะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้ “บางคน” หรือบางพรรคการเมืองไม่อาจนิ่งเงียบ นิ่งเฉยเอาได้เลยกับคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันศุกร์ที่ 17 เมษายน ที่ผ่านมา ที่ระบุว่า เขาจะส่งจดหมายเชิญบรรดาเศรษฐีที่ร่ำรวยติดอันดับในประเทศไทย (บางคนติดระดับโลก) จำนวนราว 20 คนเพื่อให้มาร่วมกันเป็น “ทีมประเทศไทย” มาร่วมมือกันในการช่วยเหลือประเทศชาติ รวมทั้งขอรับฟังมุมมอง และวิธีการแก้ปัญหาบ้านเมืองของบรรดาเศรษฐีเหล่านั้น
โดยถือว่าคนพวกนี้เป็น “กูรู” มีแนวคิดและวิธีการที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่อาจถีบตัวเองขึ้นมาจนร่ำรวย และมีทรัพย์สินเงินทองมั่งคั่งมากกว่าใครในแผ่นดินนี้
และงานนี้หากพิจารณากันแบบทั่วไปไม่มีนอกไม่มีใน ไม่มีอิจฉา หรือว่ามีการเมืองมาเจือปน ก็ต้องบอกว่าน่าจะเป็นการขอไอเดียดีๆ รวมไปถึงการขอความร่วมมือแบบขอร้อง (แบบบางครั้งอาจปฏิเสธ
ไม่ได้) ให้บรรดาเศรษฐีขาใหญ่เหล่านั้น มาร่วมมือกันกับทางการให้มากกว่าเดิม ร่วมมือกับรัฐแบบเป็นทางการ เช่น การช่วยกันประคับประคองให้ระบบเศรษฐกิจเดินไปได้ เช่น การช่วยเหลือไม่ให้มีการเลิกจ้างพนักงาน แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วบริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้จะไม่ค่อยมีปัญหาจนถึงขั้นเลิกจ้างก็ตาม หรือขอความร่วมมือให้ช่วยกันลดราคาสินค้าให้มากกว่าเดิม
รวมไปถึงการใช้เครือข่ายที่มีในการรับซื้อสินค้าเกษตร และการกระจายสินค้าของชาวบ้านเพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่ายให้มากขึ้นในช่วงเวลานี้ และในช่วงต่อจากนี้ที่จะเป็นช่วง “รีสตาร์ต” หลังจากปัญหาโรคระบาดจากเชื้อ “โควิด-19” เริ่มคลี่คลาย
แน่นอนว่า หากมองกันในภาพรวมๆ ในภาวะวิกฤตแบบนี้ การขอความร่วมมือ การให้ความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะบรรดาเศรษฐีที่มีศักยภาพแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องดี และสมควรทำ และที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นเศรษฐีบางคน หรือบางบริษัทที่เขาทำอยู่แล้ว ช่วยเหลือสังคมในยามวิกฤตแบบนี้ก็มีให้เห็นในแบบของเขา แต่ยังไม่มีการช่วยเหลือในแบบ “รวมพลัง” หรือ “โฟกัส” เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งจะมีพลังได้มากกว่า
และที่ผ่านมา ก็เคยมีการเสนอแนวทางให้มีการพูดคุยหารือกันแบบนี้มาแล้วจากบางพรรคการเมือง เช่น จาก นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ซึ่งเป็นการนำเสนอความเห็นที่สร้างสรรค์ ไม่ได้เป็นศัตรู ทำลายล้าง
อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่ง อีกฟากฝั่งการเมืองมันก็ช่วยไม่ได้ที่ต้อง “โหมโจมตี” ขัดคอเอาไว้ก่อน เพราะรู้อยู่ว่าหากพิจารณากันอีกมุมหนึ่ง มันก็มี “มุมละเอียดอ่อน” เหมือนกัน ทั้งในเรื่องตอกย้ำข้อกล่าวหา “เอื้อกลุ่มทุนคนกันเอง” หรือการเบนประเด็นในเรื่อง “รัฐบาลขอทาน” ว่ากันไปโน่น
แต่ถึงอย่างไรตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บอกว่า จะเขียนจดหมายเชิญ “ทั่นเศรษฐี” มาพูดคุยหารือ ยังไม่รู้ว่าข้อความในจดหมายนั้นจะเขียนว่าอย่างไร แต่อย่างน้อยการที่มีการเปิดเผยออกมาก่อนแบบนี้มันก็เหมือนกับการ “หยั่งกระแส” กันล่วงหน้า หากเกิดกระแสต้าน หรือมีเสียงวิจารณ์ในทางลบมากก็ยกเลิกได้ทัน หรือปรับแนวทางในการหารือใหม่ได้ทัน และเมื่อได้ฟังจากการบอกใบ้ตามรายงานที่นำเสนอกันเข้ามาล่าสุดก็คือน่าจะเป็นเรื่องการขอความร่วมมือในเรื่องการลดราคาสินค้า ขอความร่วมมือจากเครือข่ายธุรกิจตามศักยภาพของแต่ละคน และที่สำคัญคือการขอฟัง “ไอเดีย” จากคนพวกนี้ คงไม่ได้เน้นในเรื่องการขอ “เงินบริจาค” เพราะหากได้มา ก็คงไม่มากพอสำหรับการช่วยเหลือประชาชนได้ทั้งหมด
แต่สิ่งที่ได้คือภาพของความร่วมแรงร่วมใจกันมากกว่า ซึ่งเชื่อว่าหลังจากนี้จะมีการหารือกันในวงอื่นๆ ตามมาในแบบเฉพาะเจาะจงกันมากขึ้น เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมเฉพาะทาง กลุ่มเอสเอ็มอี เป็นต้น ซึ่งเป็นภาพที่ “หักมุม” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ถูกการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามชี้หน้าว่าเป็น “พวกเผด็จการ” แต่ภาพที่พยายามแสดงออกมาให้เห็นเป็นการเดินสาย “ค้อมตัวลงไปรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย” แบบนี้มากกว่าทำให้ “บางกลุ่ม” จะคลั่งใจตาย
ทีนี้มาสู่คำถามว่า จะต้องเชิญ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นไอดอลของบางกลุ่ม บางพรรค หรือแม้แต่ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือแม้แต่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เป็นลูกชายของเธอ ที่หากนับทรัพย์สินก็หลายหมื่นล้าน ก็ถือว่าเข้าขั้นเศรษฐี แต่รายหลังคงต้องตัดออกไปก่อน เพราะยังเป็นแค่มือใหม่ที่แม้จะมีเงินมากมาย แต่ยังกำเงินเดินแจกเฉพาะในบางเขตเลือกตั้งก็ต้องยังถือว่าธรรมดา ยังไม่ใช่ระดับชาติ
แม้ว่าการแจกเงินช่วยเหลือเยียวยาความเดือดร้อนชาวบ้านในยามนี้เป็นเรื่องที่ดี แต่มันก็เป็นคำถามให้ถูกเยาะเย้ยตามมาแม้กระทั่งคนที่เคยเป็น “สหายร่วมแนว” ยังต้องสะกิดแบบรู้ทัน
สำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร ที่หลายคนเชิดชูว่าเป็นมหาเศรษฐีติดระดับโลก แต่หากพิจารณากันในบางมุมก็ยังไม่เคยพบข้อมูลว่า เขาและครอบครัวเคยบริจาคหลักหลายล้านบาท เมื่อเทียบกับเศรษฐีระดับโลกตามที่อ้างกัน เมื่อเทียบกับเศรษฐีอีกหลายคนในบ้านเรา ไม่ต้องไปเทียบกับพวก “แจ็กหม่า” รวมไปถึง “บิล เกตส์” เป็นต้น ที่มีการบริจาคทั้งเงินและตั้งมูลนิธิบริจาคสำหรับงานวิจัยในการต่อสู้กับโรคร้ายจำนวนมาก แน่นอนว่า เมื่อเทียบจำนวนเงิน ทรัพย์สินแล้ว นายทักษิณ อาจมีน้อยกว่าหลายเท่า