ผบ.ทสส. รับพอใจภาพรวมกระบวนการรับผู้โดยสารกลับเร็วขึ้นเพียง 30 นาที เผย รอนายกฯพิจารณาขยายเวลา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ชี้ มีหลายปัจจัยต้องพิจารณา ขอคนไทยรักษาวินัย ไม่หย่อนยานในการดูแลตัวเอง
วันนี้ (16 เม.ย.) ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ พลเอก พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) ลงพื้นที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (Emergency Operation Center) ในท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ปฏิบัติหน้าที่ใน ศปม. รวมไปถึงพบกับผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ก่อนที่จะพาไปยังสถานที่ควบคุมแห่งรัฐ (State Quarantine) โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มปรับกระบวนการรับคนไทยที่กลับจากต่างประเทศให้มีขั้นตอนที่สั้นลง และใช้ระยะเวลาในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้น้อยที่สด ซึ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่อาจมีรายละเอียดบางอย่างต้องปรับปรุงอยู่บ้าง โดยเฉลี่ยใช้เวลาตั้งแต่ลงเครื่องจนออกจากประตูเกทและขึ้นรถรับส่งใช้เวลาประมาณ 30 นาที ซึ่งยอมรับว่าเป็นที่น่าพอใจ พร้อมยืนยันได้ดำเนินการทุกอย่างโดยถือหลัก เรายินดีต้อนรับคนไทย ที่เดินทางกลับมา และทำให้ประชาชนรู้สึกถึงความปลอดภัย
เมื่อถามถึงการพิจารณาขยายประกาศเวลาการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่จะครบในวันที่ 30 เมษายนนี้ จะมีการต่ออีกถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมหรือไม่ ในขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงแล้ว พลเอก พรพิพัฒน์ กล่าวว่า เป็นอำนาจพิจารณาของนายกรัฐมนตรี โดยยังไม่สามารถตอบได้ตอนนี้ เพราะเรื่องนี้ต้องอาศัยตัวชี้วัดหลายตัวถึงจะบอกได้ว่าควรจะผ่อนผันหรือเข้มงวดมากขึ้น แต่ทั้งหมดคนไทยต้องเข้มงวดปฏิบัติตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม ส่วนรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี ก็คงจะคำนึงถึงหลายปัจจัย ทั้ง สุขภาพ เศรษฐกิจ ซึ่งคงต้องใช้ระยะเวลาประเมินพิจารณา
ส่วนนับแต่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาตั้งแต่ 26 มีนาคม มีข้อกังวลหรือไม่นั้น พลเอก พรพิพัฒน์ กล่าวว่า เมื่อมาตรการดำเนินไปสักระยะหนึ่งแล้ว จะเกิดความเคยชินและละเลยโดยไม่รู้ตัว ไม่ระมัดระวัง จึงอยากให้ทุกคนระลึกเสมอว่าที่เหตุการณ์ของประเทศไทยดีขึ้นนั้น เพราะว่าความร่วมมือของทุกคน ย้ำให้ทุกคนรักษาวินัย อย่าเพิ่งหย่อนยานทางสังคมอย่างที่เคยทำ
เมื่อถามว่า ขณะนี้ยังพบตัวเลขคดีผู้ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ต้องเพิ่มโทษหรือไม่นั้น หัวหน้า ศปม.ระบุว่า เป็นเรื่องของจิตสำนึก และสังคมไทยในเวลานี้ ควรจะอยู่ด้วยความห่วงใย การกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนอาจไปเพิ่มความเสี่ยงทำให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบ ซึ่งการจับกุมเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าหน้าที่อยากทำ จึงเรียกร้องให้ประชาชนช่วยกันตักเตือน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ เมื่อเวลา 13.35 น. มีเที่ยวบิน Q2 9350 จากมัลดีฟส์ โดยมีประชาชนคนไทย โดยสารมาจำนวน 55 คน ขณะที่เมื่อเช้ามีประชาชนคนไทยเดินทางกลับจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อีก 119 คน รวม 154 คนซึ่งทั้งหมดนี้จะเข้าสู่สถานที่ควบคุมแห่งรัฐ หรือ State Quarantine ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ สุขุมวิท ระยะเวลา 14 วัน
สำหรับคนไทยที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ โดยก่อนจะขึ้นรถ จะต้องนำสัมภาระที่ติดตัวมาทุกชิ้น ให้เจ้าหน้าที่ทำการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ โดยรถบัสที่จอดจะมีระยะห่างรับผู้โยสารคันละ 20 คนเท่านั้น และเมื่อถึงสถานที่ควบคุมแห่งรัฐ ก็จะต้องถูกคัดกรองโรคอีกครั้งหนึ่งก่อนเข้าสู่กระบวนการกักตัว 14 วันตามมาตรการของรัฐบาล
ส่วนในวันพรุ่งนี้วันที่ 17 เมษายน จะมีคนไทยเดินทางกลับจากบังกลาเทศ อีก 35 คน นอกจากนี้นักเรียนทุน AFS จากประเทศสหรัฐอเมริกาและคนไทยจำนวน 129 คน และในวันที่ 18 เมษายนอีก 123 คน ส่วนวันที่ 19 เมษายน อีก 160 คน