ข่าวปนคน คนปนข่าว
**แหม่มโพธิ์ดำ โคตรผิดหวังสัสๆ งานเข้าเฉย เป็นคนแฉ “หน้ากากอนามัยหายไปไหน” กลับโดนตำรวจตามล่าตัวซะงั้น
“เพจแหม่มโพธิ์ดำ” โพสต์ข้อความ เมื่อวานว่า งานเข้ากูเฉยจ้า เห็นข่าวไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา บอกว่าวันนี้ พล.ต.ต.ปัญญา ปิ่นสุข รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ระบุว่า ตำรวจกำลังเร่งสืบหาตัวตนเจ้าของเพจเฟซบุ๊ก “แหม่มโพธิ์ดำ” หลังแชร์คลิปการไลฟ์ขายหน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้น ของ “เสี่ยบอย” ซึ่งถือว่าเข้าข่ายความผิดนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ!! (กูไปแชร์มันตอนไหน มีแต่แคปสิ่งที่มันโพสต์มาลงในความคิดเห็น สิ่งที่ตำรวจพูดนี่เข้าข่ายเฟกนิวส์นะ)
กูออกมาช่วยสังคมตามหาหน้ากาก เพราะโรงพยาบาลทั่วประเทศรวมถึงประเทศไทยไม่มีหน้ากากใช้ ไปไหนไม่รู้ หาไม่เจอ พอไอ้บอยโพสต์หลักฐาน ทั้งคลิปอวดหน้ากาก ทั้งโม้เย็บม้า หน้ากากกองเป็นลังๆ บัญชีต่างๆ เต็มไปหมด โพสต์โยงใยไปถึงคนในรัฐบาล กูก็นำมาลงเพื่อผลประโยชน์ของภาคประชาชน รัฐก็มาบิดๆ ให้ข้อมูลสื่อ หาว่ากูได้ข้อมูลมาจากฝั่งล้มล้างรัฐบาล คือ มึงเป็นบ้าเหรอ มีหลักฐานอะไรบ้างที่กูเป็นคนแบบนั้น ทำเพจมาไม่เคยการเมืองสักครั้ง มีแค่เรื่องหน้ากาก เพราะมันเดือดร้อนกันทั้งแผ่นดิน ส่วนไอ้บอยมันจะมีหน้ากากกี่อัน มันคือหน้าที่ตำรวจไปสืบหา ไม่ใช่หาไม่เจอ ทั้งที่คลิปทนโท่ กลายเป็นคนแจ้งผิด อีเวรตะไล
พอมีลูกเพจถูก “พันธ์ยศ” โกงกูก็นำมาลงเพจ ว่า มีสายข่าวแจ้งว่าพรรคภราดรภาพ มีเอี่ยวนะ เอ๊ะอะไร ยังไง ไปตรวจสอบกันสิ กูคนเปิดชัดๆ ใครก็เห็น จนตอนนี้ตำรวจตามจับมันได้ ไม่ให้เครดิตกูไม่ว่าอะไร กูช่วยสังคมไม่หวังเอาหน้า ขอให้เป็นผลดีกับประเทศชาติจบ หน้ากากที่ผลิตในประเทศ จะได้ถูกแจกจ่ายไปให้เจ้าหน้าที่พยาบาลกันสักที
ประเทศไหนเขาก็ช่วยคุ้มครองพลเมืองดี คนที่หาหลักฐาน เพื่อตามจับคนร้าย แต่ประเทศไทยไอเลิฟยู จะล่อกบาลกูเสียแล้ว แถลงการณ์กันยิ่งใหญ่ เหมือนกูคือผู้ก่อการร้าย นี่คือ การตอบแทนความเสี่ยงกูเหรอ คือจะให้กูเป็นคนเหี้ยให้ได้ โคตรผิดหวังสัสๆ จะมาตามหากูทำไม ไปตามหาคนที่โกงชาติ โกงแผ่นดิน”...
หลังโพสต์นี้ของ “แหม่มโพธิ์ดำ” มีชาวเน็ตเข้ามาให้กำลังใจ “ควีน” แอดมินเพจอย่างล้นหลาม
แน่นอนว่า หลายคนก็สงสัย งานมาเข้าเพจแหม่มโพธิ์ดำได้ไง เพราะใครๆ ก็รู้ว่าตั้งแต่มีดรามา “หน้ากากอนามัย” หาซื้อไม่ได้ หรือ ถ้ามีก็ราคาแพงมาก โดยที่เพจแหม่มโพธิ์ดำออกมา “ชี้เป้า” เป็นคนแรกที่ว่า มันมีกระบวนการกักตุน โก่งราคาทำมาหากินกันเป็นกระบวนการ และจนไปถึงคนใกล้ชิดนักการเมือง พรรคการเมืองมีเอี่ยว
พอสังคมตื่นรู้ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ยังเอ่ยถึงเพจแหม่มโพธิ์ดำ ดรามาหน้ากากอนามัยกลายเป็นเรื่องที่ทำให้สื่อหลัก ฝ่ายความมั่นคงหันมาให้ความสนใจ ขยายผลตามที่แหม่มโพธิ์ดำนำเสนอ
อันนี้ต้องให้เครดิต เพจสายดาร์กอย่างแหม่มโพธิ์ดำ มิใช่หรือ??
ที่นี้มาดูว่า ฟากของตำรวจที่ตั้งโต๊ะแถลงจับกุมเครือข่ายกักตุนหน้ากากอนามัย หลังมีการจับกุม “พันธ์ยศ อัครอมรพงศ์” ประธานยุทธศาสตร์พรรคภราดรภาพ เมื่อวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมา
ตำรวจบอกว่า คดีดังกล่าวมีความเกี่ยวโยงกันของกลุ่มผู้ต้องหาที่มีลักษณะเป็นขบวนการ โดยมีคดีที่สำคัญประกอบด้วย คดีแรกของ “ศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี” หรือ “บอย” โพสต์ข้อมูลอันเป็นเท็จว่ามีหน้ากากอนามัยจำนวนมาก
คดีที่ 2 เกิดจากการนำข้อมูลของ “ศรสุวีร์” โดยผู้ใช้นามว่า “แหม่มโพธิ์ดำ” นำมาโพสต์อีกรอบ
คดีของ “เสี่ยบอย” ศรสุวีร์ ตรวจสอบพบว่า เป็นการกระทำเพื่อหวังให้ลูกค้าสั่งซื้อหน้ากากอนามัย โดยนำผู้มีชื่อเสียงมาประกอบการโพสต์ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนใกล้จะสรุปสำนวนแล้ว แต่อีกส่วนกรณีการโพสต์ของ “ศรสุวีร์” กรณีการซื้อขายหน้ากากอนามัย ตรวจสอบพบว่ามีมูลการซื้อขายกันจริงๆ สืบสวนสอบสวนขยายผลพบว่ามีความเกี่ยวโยงกับ “พันธ์ยศ อัครอมรพงศ์” ประธานยุทธศาสตร์ พรรคภราดรภาพ จึงได้สั่งการให้ บก.ป. สืบสวนสอบสวนดำเนิน คดีอีกส่วนหนึ่ง
กรณี “แหม่มโพธิ์ดำ” พบมีพยานหลักฐานค่อนข้างจะชัดเจนว่ามีการโพสต์ข้อมูลอันเป็นเท็จ เนื่องจากนำข้อมูลของ “ศรสุวีร์” มาโพสต์ต่ออีกรอบ โดยที่ข้อมูลเหล่านั้นเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน
“ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนว่า แหม่มโพธิ์ดำเป็นใคร”
นี่คือ ฝ่ายตำรวจที่ตั้งข้อกล่าวหา จนเป็นที่มาของ “งานเข้า” เพจแหม่มโพธิ์ดำ
จริงๆ แล้วเรื่อง “คดีบอย” หรือ “คดีพันธ์ยศ” กระทั่งไล่ตามตัวแหม่มโพธิ์ดำ ก็ดี ก็ว่ากันไป แต่ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับเพจ “แหม่มโพธิ์ดำ” ด้วยมิเช่นนั้นก็อาจจะอย่างที่เธอว่า ประเทศไหนเขาก็ช่วยคุ้มครองพลเมืองดี คนที่หาหลักฐานเพื่อตามจับคนร้าย ...กลายเป็นว่าคนเสี่ยงกลับถูกตอบแทนด้วยข้อกล่าวหา ถูกดำเนินคดีซะงั้น
เรื่องที่ “กระทรวงพาณิชย์” เป็นจุดเริ่มต้นดรามา บนความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องเผชิญการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยที่ไม่มีเครื่องป้องกันพื้นฐาน บุคคลากรทางการแพทย์ขาดแคลนหน้ากากอนามัย เหล่านี้เป็นการดำเนินการผิดพลาดของ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รมว.พาณิชย์ หรือไม่อย่างไร ?
หลักฐานที่ “รมว.จุรินทร์” เป็นคนให้ข้อมูลต่อสาธารณะเองว่ามี สต๊อก 200 ล้านชิ้น จนเกิดกรณี “เสี่ยบอย” เอามาโพสต์หาประโยชน์ เลยมาถึงข้อครหาที่ว่ามีขบวนการกักตุนที่มี “ที่ปรึกษา รมว.” เอี่ยวการกักตุนด้วย จนมาถึงการปลด “วิชัย โภชนกิจ” อธิบดีกรมการค้าภายใน
ข้อข้องใจพวกนี้นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่กว่า คดีตามล่าหาตัวแหม่มโพธิ์ดำ !!
ไม่ใช่ตั้งคณะกรรมการของพรรคประชาธิปัตย์ ของกระทรวงพาณิชย์ มาสอบกันเองแล้วมาบอกผลสอบที่รู้ๆ กันต้องออกมาแบบช่วยๆ กันไป
รัฐบาลต้องแสดงความจริงจังให้เป็นคดีพิเศษ ต้องถึงมือ DSI สังคมถึงจะยอมรับและเชื่อมั่นได้
งานนี้ดรามาไม่จบแน่ ถ้าคนโกงชาติ โกงแผ่นดิน ยังลอยนวล
**สยบดราม่า 5 พัน “อุตตม” เคลียร์ปมยืดเวลารับเงินเยียวยา คลังจะเยียวยาให้ครอบคลุมมากที่สุดด้วยกรอบงบ 1 ล้านล้าน
ดรามาเงินเยียวยาโควิด-19 คนละ 5,000 บาท ยังถามไถ่ถกเถึยงกันมากว่า เหตุใดจึงมีการยืดระยะเวลาให้ผู้รับเงินช่วยเหลือ จากเดิม 3 เดือน เป็น 6 เดือน
“อุตตม สาวนายน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เพซบุ๊กส่วนตัว อธิบายว่าความจริงเป็นเรื่องของการตั้งกรอบเวลาในการเยียวยาไว้ เนื่องจากยังไม่รู้ว่าสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 จะสิ้นสุดลงเมื่อใด จึงจำเป็นต้องบริหารจัดการให้ยืดหยุ่นตามสถานการณ์
ดังนั้น ในระยะแรก จึงจะมีการเยียวยาในช่วง 3 เดือนก่อน หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นก็สามารถขยายระยะเวลาเพิ่มเติมได้อีกตามความเหมาะสม ในทางกลับกันหากสถานการณ์จบก่อน ก็สามารถยุติการเยียวยาได้เช่นกัน
อีกเรื่อง คือ การบริหารจัดการมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบนั้น ผมได้กำชับกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และธนาคารกรุงไทย ว่าจำเป็นต้องทำเร็ว และเร่งด่วน แต่ต้องควบคู่ไปกับการจ่ายเงินให้มีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันที่ 2 ในการทยอยโอนเงินให้กับผู้ผ่านเกณฑ์ตรวจสอบ และจะทยอยจ่ายต่อไปอย่างเร่งด่วน
ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเยียวยา ได้มุ่งเน้นไปที่กลุ่มคนในวัยทำงานเป็นหลัก เพราะเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ขอย้ำว่าทั้งหมดอยู่ภายใต้คำนิยามว่า “ต้องเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง” ซึ่งจะแยกย่อยไปตามกลุ่มอาชีพต่างๆ แต่ที่สำคัญต้องเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับการเยียวยาหรือดูแลจากภาครัฐตามมาตรการอื่นๆ อยู่ก่อนแล้ว
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังยึดแนวนโยบาย ที่จะต้องช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบให้ครอบคลุมที่สุด ภายใต้กรอบงบประมาณ “1 ล้านล้านบาท” หมายความว่า สามารถปรับเปลี่ยนแนวทางมาตรการหรือวงเงินได้สอดคล้องเหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน
ทั้งนี้ ล่าสุด กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างกำหนดมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร เป็นรายครัวเรือน ซึ่งจะมีการนำเสนอเข้า ครม. เร็วๆ นี้ โดยมุ่งหวังว่า จะครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบในวงกว้างที่สุด และประคับประครองเศรษฐกิจในภาพรวมไปพร้อมกัน”
เคลียร์ๆ กันไปในเรื่องกรอบเวลา 3 เดือน 6 เดือน แตก็มีอีกหนึ่งปมที่เวลานี้ คนที่เดือดร้อนมีจำนวนมาก ...คลังจะเยียวยาให้ครอบคลุมอย่างไร ?
รมว.คลัง อธิบายว่า จากตัวเลขระยะเวลา 6 เดือน ที่ตั้งกรอบระยะเวลางบประมาณ โดยประมาณการรายจ่ายเป็นรายเดือน ซึ่งสามารถปรับระยะเวลายืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ เงินเยียวยานี้ อยู่ภายใต้เม็ดเงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นก้อนงบประมาณเพื่อเยียวยา 6 แสนล้านบาท และก้อนงบประมาณเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก 4 แสนล้านบาท
ดังนั้น ในหลักการ เม็ดเงินในก้อนเยียวยา 6 แสนล้าน หากประเมินแล้วเห็นว่ายังสามารถใช้ขยายความช่วยเหลือไปยังกลุ่มที่ต้องช่วยเหลือเพิ่มเติมได้อีก กระทรวงการคลังก็จะดำเนินการ เพราะตั้งงบประมาณเผื่อไว้แล้ว และหากงบประมาณ 6 แสนล้านไม่พอ ก็ยังสามารถนำงบประมาณในส่วนของการฟื้นฟู 4 แสนล้าน มาใช้เพื่อการเยียวยาได้ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ เป้าหมายของมาตรการเยียวยานั้น กระทรวงการคลังต้องการช่วยเหลือกลุ่มคนที่มีความจำเป็นต้องช่วย และให้ครอบคลุมมากที่สุด ส่วนกลุ่มที่ได้รับมาตรการช่วยเหลืออื่นๆ ของรัฐอยู่แล้ว ก็ขอให้ท่านเหล่านั้นใช้สิทธิเดิมที่มีอยู่ เช่น กลุ่มประกันสังคมตาม ม.33 เป็นต้น
ขณะเดียวกัน หากมีกลุ่มใดนอกเหนือจากนี้ เห็นว่าจำเป็นต้องช่วยเหลือ ก็จะมีมาตรการออกมารองรับได้อีก
ฟังแล้วคนที่เดือดร้อนจริงๆ คงใจชื้น เพราะวิกฤตครั้งนี้แสนสาหัสถ้วนหน้า.
** ใจหล่อมาก !! “ส.ส.เต้” มงคลกิตติ์ ประกาศยกเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งทั้งหมด จากนี้จนสิ้นสุดวาระการเป็น ส.ส. เทเข้ากองทุนสู้โควิด-19 ของรัฐบาล เพราะวิกฤตครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก
สถานการณ์เชื้อโควิด-19 ที่แพร่ระบาดลุกลาม ยังไม่รู้ว่าคลี่คลายและหยุดยั้งได้เมื่อไร นอกจากสร้างความอกสั่นขวัญแขวนในหมู่ประชาชน กระทบถึงเศรษฐกิจโดยรวม แล้วยังกระทบไปถึงสถานะทางการเงินการคลังของประเทศอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ...เพราะทั้งงบประมาณในด้านสาธารณสุข ที่ต้องทุ่มไปกับการคัดกรอง สกัดการแพร่ระบาด ยารักษา อุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมทั้งการช่วยเหลือเยียวยาผู้ใช้แรงงาน พ่อค้า แม่ค้า ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่ได้รับผลกระทบ รวมๆ แล้ว วงเงินน่าจะหยู่ในหลักหลายแสนล้านบาท หรืออาจจะลามไปถึงหลักล้านล้านบาท จนรัฐบาลต้องออก พ.ร.ก.กู้เงิน เพื่อมาเตรียมไว้สำหรับการใช้จ่ายในส่วนนี้โดยเฉพาะ
ก่อนหน้านี้ ก็มีภาคธุรกิจ ศิลปิน ดารา ได้ร่วมบริจาคเข้ากองทุนสู้โควิต กันหลายราย นับเป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชม
ในส่วนของภาคการเมือง “คณะรัฐมนตรี” ได้มีมติตั้งกองทุนสมทบเพื่อป้องกันโควิด-19 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมกับคณะรัฐมนตรี ก็ได้บริจาคเงินเดือน 1 เดือน เป็น “ทุนประเดิม” เข้ากองทุนฯ ไปก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อสองสามวันก่อน “พรเพชร วิชิตชลชัย” ประธานวุฒิสภา ก็ได้ขอความร่วมมือ สมาชิกวุฒิสภาทั้ง 250 คน ตัดเงินเดือนคนละ 5 หมื่นบาท เพื่อนำเข้ากองทุนสู็โควิด-19 ที่วุฒิสภาตั้งขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่เดือน เม.ย.นี้ เพราะเงินเดือน ส.ว. รวมกับเงินเพิ่ม หรือเงินประจำตำแหน่ง ก็ตกคนละ 113,560 บาท ซึ่งก็เท่ากับเงินเดือน และเงินประจำตำแหน่งของ ส.ส.
เมื่อมีข่าวหักเงินเดือน ส.ว.คนละ 5 หมื่นบาท เข้ากองทุนสู้โควิด-19 ก็เหมือนเป็นแรงกดดัน ส.ส. ว่า ควรจะมีการบริจาคมาช่วยในส่วนนี้ด้วย... ซึ่ง ส.ส.ส่วนหนึ่งก็พร้อมที่จะบริจาค แต่ก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เห็นว่า ปกติ ส.ส.ก็ต้องลงพื้นที่ ต้องให้ความช่วยเหลือประชาชนอยู่แล้ว ต่างจาก ส.ว.ที่ไม่ต้องลงพื้นที่ ดังนั้นจึงเห็นว่าเรื่องนี้ควรอยู่ที่ความสมัครใจ...
อย่างไรก็ตาม เรื่องหักเงินเดือนฝ่ายการเมืองเข้ากองทุนสู้โควิด-19 นี้ “สิระ เจนจาคะ” ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ที่ได้ใช้เงินเดือน ส.ส.ของตัวเอง ซื้อหน้ากากอนามัย แจกประชาชน จัดเครื่องฉีดยาฆ่าเชื้อ ทั้งในเขตพื้นที่เลือกตั้งของตนเอง และยังเผื่อแผ่ไปยังเขตเลือกตั้งอื่นที่ติดต่อร้องขอมา
“ส.ส.สิระ” ยังได้ออกมาเรียกร้องให้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ออกคำสั่งตัดเงินเดือน"ข้าราชการการเมืองทั้งหมด" เพื่อนำเงินไปใช้ในการแก้ปัญหา เพราะเห็นว่าถึงเวลาแล้ว ที่ข้าราชการการเมือง ควรเสียสละ เพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชน เพราะเงินเหล่านี้ล้วนมาจากภาษีของประชาชน
“จากจำนวน ส.ส. และ ส.ว. 750 คน คิดกลมๆ เฉลี่ยที่คนละ 120,000 บาท หากไม่รับเงินเดือน จะได้เงินประมาณเดือนละ 90 ล้านบาท ยังไม่รวมเงินเดือนบรรดาที่ปรึกษา-ผู้ช่วยรัฐมนตรี อบจ. อบต. และส่วนอื่นอีกมาก หากตัดเงินเดือนข้าราชการการเมืองทั้งหมด จะมีเงินไปใช้ช่วยเหลือประชาชนหลายพันล้านบาท”
ข้อเสนอของ “ส.ส.สิระ” ทำเอาบรรดานักการเมืองได้แต่นิ่ง ไม่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างใด
ล่าสุด “ส.ส.เต้” มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ ก็ได้กระตุ้นจิตสำนึกในการช่วยเหลือประเทศชาติ ประชาชนอีกแรงหนึ่ง โดยไปยื่นหนังสือแสดงความจำนงค์ ต่อเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ขอบริจาคเงินเดือน และเงินประจำตำแหน่ง ส.ส. ทั้งหมดที่จะได้รับ เข้ากองทุนสมทบป้องกันโควิด-19 ของรัฐบาล โดยเริ่มตั้งแต่งวดวันที่ 30 เม.ย. 63 ถึง 31 มี.ค. 66 ซึ่งเป็นวันที่หมดวาระของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ หรือจนกว่าจะยุบสภาฯ ซึ่งรวมแล้วจะเป็นเงินประมาณ 4 ล้านบาท
เรียกกว่า “ส.ส.เต้” ได้บริจาคเงินเดือนล่วงหน้าไปแล้ว ...ต่อจากนี้จะไม่มีการรับเงินเดือนไปจนถึงสิ้นสุดวาระการเป็น ส.ส.
“ส.ส.เต้” เห็นว่า วิกฤตโควิด-19 ร้ายแรงไปทั่วโลก และไม่รู้ว่าวิกฤตนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด ล่าสุด รัฐบาลได้ออก พ.ร.ก.กู้เงิน กว่า 1.9 ล้านล้านบาทไปแล้ว ถือเป็นการกู้ครั้งสุดท้าย จะกู้อีกไม่ได้แล้ว เนื่องจากเกินลิมิต ร้อยละ 60 ของหนี้สาธารณะ ต่อจีดีพี และหากปัญหานี้ยังยืดเยื้อ แก้ไขไม่ได้ภายใน 6 เดือน ประเทศจะเสียหายหนัก ดังนั้นถึงเวลาที่คนไทยทุกคนต้องช่วยกันฝ่าฟัน และยอมเสียสละ
อย่างไรก็ตาม “ส.ส.เต้” ยอมรับว่า สถานะทางการเงินของ ส.ส. ไม่ได้ดีเหมือนกันทุกคน บางคนก็ยังมีภาระด้านการเงินอยู่ จึงขอให้การบริจาคเป็นดุลยพินิจส่วนบุคคล ... แต่ก็ย้ำว่าสถานการณ์ปัจจุบันตอนนี้ ทุกคนเดือดร้อนกันหมด ถ้าเราเราจะเอาตัวรอดเฉพาะครอบครัวเรา เราอาจเอาตัวรอดได้ แต่ประชาชนไม่รอด ตัว ส.ส. ส.ว. รัฐบาล เจ้าสัว นายทุน ก็ไม่รอดเหมือนกัน….ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือ ร่วมใจกัน
ไม่ว่าที่ผ่านมา บุคลิก หรือการแสดงความคิดเห็นของ “ส.ส.เต้” ในการทำงานการเมือง จะเป็นอย่างไร อาจจะมีถูกวิพากษ์วิจารณ์บ้าง แต่การแสดงออกถึง “จิตสาธารณะ” ในการช่วยเหลือสังคม เพื่อร่วมกันฝ่าฟันวิกฤตของชาติอย่างจริงใจในครั้งนี้ ... ก็ต้องขอแสดงความชื่นชม และปรบมือรัวๆ ให้