xs
xsm
sm
md
lg

“โควิด” ร้ายแค่ไหนยังไม่เท่าปากคน !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล
เมืองไทย 360 องศา





เพิ่งจะชื่นใจได้ไม่กี่ชั่วโมงว่าตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่ของประเทศลดลงมาเป็นเลขสองหลักต่อเนื่องกันสองวันมาถึงเมื่อวันที่ 7 เมษายน ที่ผ่านมา แต่วันรุ่งขึ้นวันที่ 8 เมษายน ก็เหมือนกับว่าพูดไม่ทันขาดคำตัวเลขผู้ป่วยก็พุ่งพรวดกลับมาที่เลขสามหลัก นั่นคือ จากการแถลงของ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รายใหม่ว่ามีจำนวน 111 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย รักษาหายเพิ่มอีก 64 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสม 2,369 ราย เสียชีวิตรวม 30 ราย

อย่างไรก็ดี ในจำนวนผู้ป่วยใหม่จำนวน 111 รายนั้น ในจำนวนนั้นมีผู้ป่วยที่มาจากเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่ประเทศอินโดนีเซียถึง 42 คน

“แม้ท่านยืนยันมาก่อนว่า มีใบรับรองแพทย์ ก่อนมาอาจไม่มีไข้ มาป่วยพอดีตอนลงเครื่อง เมื่อตรวจซ้ำแล้วไม่สบายเราก็ต้องนำมาดูแล ตัวเลขตัวนี้ทำให้ขึ้นไปถึง 111 คน” เขาระบุและว่า ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ป่วยติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศ รวมทั้งผู้ติดเชื้อจากภายในประเทศที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายเก่าก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ดี จากการให้ข้อมูลของ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ที่ระบุว่า เวลานี้ได้พบผู้ติดเชื้อในจังหวัดภูเก็ตเป็นจำนวนเฉลี่ยสูงมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมาตรการเชิงรุกในการสแกนตรวจหาผู้ติดเชื้อในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงหรือจุดที่มีการระบาดจนทำให้พบผู้ติดเชื้อจำนวนมากขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการตรวจที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล

ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันในแง่ดี (อีก) ก็ต้องบอกว่าให้ “รออดเปรี้ยวไว้กินหวาน” เพราะเมื่อมาตรการที่เข้มงวดขึ้นกว่าเดิม มีมาตรการเชิงรุกในการตรวจหาเชื้อในพื้นที่ระบาด อย่างเช่น ภูเก็ต เป็นต้น ที่เวลานี้มีการตรวจเช็กไปแล้วหลายพันคน อีกทั้งล่าสุด ทางผู้ว่าราชการจังหวัดก็มีการสั่งปิดทุกพื้นที่ห้ามเข้าออกและห้ามเดินทางข้ามถิ่นทั้งจังหวัดแล้ว อีกไม่กี่วันก็น่าจะเห็นผลในทางบวก

นอกเหนือจากนี้ ยังมีการเปิดห้องปฏิบัติการเครือข่ายตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วประเทศ จำนวน 80 แห่ง และจะเพิ่มอีก 30 แห่งภายในสองสัปดาห์ข้างหน้า ทำให้น่าจะค้นหาผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้รวดเร็วมากขึ้น

หากพิจารณาในทางบวกก็น่าจะเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าเดิม นั่นคือ เวลานี้ประชาชนตื่นตัวในการร่วมมือกับทางการมากขึ้น เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะเชื้อโรคร้ายนี้มันน่ากลัว จะทำเป็นเล่น ประมาท ไม่ป้องกัน หรือไม่เว้นระยะห่างทางสังคมไม่ได้แล้ว เพราะเมื่อเห็นตัวเลขทั่วทั้งโลกที่ติดเชื้อ และตายกันเป็นใบไม้ร่วง และที่สำคัญผู้ติดเชื้อผู้เสียชีวิตล้วนอยู่ในประเทศที่เจริญแล้วทั้งสิ้น มันก็ทำให้คนไทยรู้สึกแหยงว่ามันใกล้ตัวเข้ามาทุกที

ประกอบกับเมื่อรัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และออกมาตรการมาควบคุมที่เข้มงวด มีการประกาศเคอร์ฟิว มันก็ทำให้การออกจากบ้านน้อยลง การจับกลุ่ม มั่วสุมในยามวิกาลก็ลดน้อยลง และเมื่อพิจารณาจากจำนวนวันที่มีการประกาศมาตรการควบคุมดังกล่าวแล้วก็ได้เห็นจำนวนตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่ในประเทศเริ่มมีแนวโน้มลดลง แต่มาเพิ่มขึ้นจากการเดินทางเข้ามาจากต่างประเทศในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้

ขณะที่ผู้ติดเชื้อที่พบจำนวน 42 คน ที่มาจากการร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่อินโดนีเซีย นั้นหากมองในแง่ดีก็ถือว่าอยู่ในการ “กักตัว” ทั้งหมดแล้ว การแพร่เชื้อออกไปข้างนอกก็ไม่ค่อยน่าเป็นห่วง

อย่างไรก็ดี แม้ว่าทุกอย่างดูเหมือนจะกำลังเข้ารูปเข้ารอยมากกว่าเดิม แต่เมื่อพิจารณาไปรอบตัวก็ยังมีบางกลุ่มที่ดูเหมือนว่า “ทำอะไรก็ไม่ดีไปหมด” หรือดิสเครดิตคนทำงานให้เสียกำลังใจตลอดเวลา

เหมือนดังตัวอย่างกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เลื่อนเวลาการเปิดเทอมจากเดิมกำหนดเอาไว้วันที่ 16 พฤษภาคม ออกไปเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม ก็โดน ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล พิธีกรรายการทีวีออนไลน์ช่องหนึ่งออกมาโวยวายด่าทอรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อย่างรุนแรงว่า “ทุเรศ” เป็นนโยบายโง่ๆ เป็นต้น ซึ่งหากพิจารณากันตามความเป็นจริงก็ไม่รู้ว่า “ใครกันแน่ที่โง่” หรือไม่มีความคิด เพราะที่ผ่านมาบุคคลนี้มักจะใช้ความคิดความเชื่อของตนเองเป็นใหญ่ในการคิดและพูดสื่อสารออกมา ทีมักสวนทางกับคนอื่นเป็นส่วนใหญ่ จนหลายครั้งเป็นเรื่องขบขันให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

อย่างคราวนี้ที่ต้องมีการเลื่อนวันเปิดเทอมออกไป ก็เนื่องมาจากได้เห็นแนวโน้มการแพร่ระบาดของโรคยังทำไม่ได้เต็มที่ และทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยกับเด็กๆ ที่มีความเสี่ยงได้ง่าย และที่สำคัญ เมื่อนับจากวันนี้ไปจนถึงวันที่ 16 พฤษภาคมก็เหลือเวลาอีกไม่กี่วันเท่านั้น สถานการณ์การแพร่ระบาดยังไม่นิ่ง ดังนั้นการเลื่อนออกไปก่อนถือว่าน่าจะเหมาะสม มากกว่า เป็นเรื่อง “ทุเรศ” ตามที่ ม.ล.ปลื้ม คนนี้วิจารณ์

อย่างไรก็ดี ยังมีอีกหลายคน โดยเฉพาะบรรดาพวกนักการเมืองทั้งหลายที่ยังไม่อาจสงบปากสงบคำลงได้ เพราะยังคิดว่าหากไม่ได้พูด ไม่ได้แสดงความเห็นอะไรออกมาก็จะเกรงว่าประชาชนจะลืม ทั้งที่โดยความจริงแล้วการเงียบเสียงน่าจะมีประโยชน์ สามารถสร้างสมาธิให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานได้ดีกว่า

ดังนั้น หากพิจารณาจากภาพรวมของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคแล้ว แม้ว่าล่าสุดยังมีตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นหลักร้อยอีกรอบ แต่หากมองในแง่ของความตื่นตัวและมาตรการในเชิงรุกของทางการก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอยมากกว่าเดิม เชื่อว่าอีกไม่กี่วันก็น่าจะคุมสถานการณ์ได้ แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือปากคนที่น่าจะร้ายกว่าเชื้อ “โควิด” นั่นแหละ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น