ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ปรากฏการณ์ "แฟลชม็อบ" ของนักเรียน นักศึกษา จะเป็นแค่กองไฟกองเล็กๆ ที่พอหมดเชื้อก็ดับไปเอง หรือจะลุกลาม ร้อนแรงเป็นไฟป่าหน้าร้อน ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาล "ลุงตู่" ที่จะเข้ามาดูแล แก้ไข
การเมืองในสภาฯ ว่าด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้จบลงไปแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนการโหวต ที่จะมีขึ้นในวันนี้ (28ก.พ.) ซึ่งค่อนข้างแน่นอนว่า ฝ่ายรัฐบาลคงได้รับเสียงไว้วางใจแบบ "ผ่านฉลุย" เพราะผลจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ ทำให้เสียงส.ส. ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคหายไป 11 เสียง ขณะที่ส.ส.อีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่สิ้นสภาพ ก็ไปเข้าสังกัดพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว ...จึงไม่มีปัญหาเรื่องจำนวนมือที่จะยกให้รัฐบาล
ขณะเดียวกันการเมืองนอกสภาฯ "แฟลชม็อบ นักเรียน นักศึกษา" กลับคึกคักขึ้นทันที จากที่เริ่มชุมนุมแสดงพลัง ในสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค ได้ขยายวงกว้างออกไปในระดับโรงเรียมมัธยมศึกษาหลายแห่งแล้ว
ในเบื้องต้นนั้นอาจจะมองกันว่า คงเป็นแค่ "อาฟเตอร์ช็อก" หลังศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ และตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค 10 ปี จนเกิดเป็นการแสต่อต้านการตัดสินดังกล่าว เพราะเด็กๆกลุ่มนี้มี พรรคอนาคตใหม่เป็น”ไอดอล”
แต่ถ้าพิจารณาจากการแสดงออกผ่านการปราศรัย การเขียนข้อความ ของ "พลังคนรุ่นใหม่เหล่านี้" จะเห็นได้ว่า เรื่องยุบพรรคอนาคตใหม่นั้นเป็นเพียงแค่ "ปัจจัยรอง" ส่วนปัจจัยหลักนั้น กลับพุ่งเป้าไปที่ความไม่พอใจในการบริหารประเทศของ "รัฐบาลลุงตู่" ทั้งเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ความไม่เป็นธรรมในการใช้อำนาจรัฐแบบ "ไร้มาตรฐาน" มุ่งทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม ปกป้องพวกพ้องกันเอง อย่างกรณี "นาฬิกาเพื่อน" หรือ ฟาร์มไก่ เอ๋ปารีณา ...
ที่สำคัญคือ ในสายตาของคนกลุ่มนี้ มองว่ารัฐบาลลุงตู่ เป็น "รัฐบาลเผด็จการ" แม้จะมาจากการเลือกตั้งก็ตาม... เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ออกแบบมาเพื่อเอื้อต่อการสืบทอดอำนาจ โดยเฉพาะการให้ คสช. ตั้ง 250 ส.ว. มาร่วมโหวตบุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ...แน่นอน “เด็กๆ”ย่อมรับรู้ได้ว่า นี่คือ การเอาเปรียบทางการเมือง เพราะเห็นชัดๆว่า แม้ชนะการเลือกตั้ง แต่สุดท้ายก็ต้องแพ้เกมในสภาฯ...
จุดเริ่มต้นของ "แฟลชม็อบนักศึกษา" เริ่มที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยสหภาพนักเรียนนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ก็ได้จัดกิจกรรมแฟลชม็อบ ชื่อ “ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม” ที่ บริเวณ ลานปรีดี ภายในมหาวิทยาลัย มี "เซเลบริตี้สายประชาธิปไตย" ทั้งรุ่นใหม่ รุ่นเก่าเข้าร่วมหลายราย...จากนั้น การจัดกิจกรรมในทำนองเดียวกันก็กระจายไปยังมหาวิทยาลัย ในภูมิภาคทั่วประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ ม.ราชมงคล- ม.ราชภัฏ และ ม.เอกชน
ที่ฮือฮาไม่น้อย เมื่อมี "แฟลชม็อบพลังเด็กมัธยม" ในโรงเรียนชั้นนำ ก็ร่วมจัดกิจกรรมแสดงจุดยืนทางการเมืองด้วย อย่างเช่น โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย โรงเรียนสตรีวิทยา โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ...แม้แต่นักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก็พร้อมใจติดแฮชแท็ก #เกียมอุดมไม่ก้มหัวให้เผด็จการ
จะว่าไปแล้ว การคิดข้อความเพื่อติดแฮชแท็ก การโพสต์ภาพการจัดกิจกรรมชุมนุม แสดงพลัง ผ่านโซเชียลฯ ก็เป็นตัวเร่งให้ "แฟลชม็อบนักเรียนนักศึกษา" แพร่ขยายไปอย่างรวดเร็ว เพราะแต่ละคน แต่ละสถาบันการศึกษา ต่างก็คิดว่าตัวเอง "มีของ"เหมือนกัน ก็ต้อง "ปล่อยของ" ออกมาประชันกับสถาบันอื่นๆในโซเชียลฯ เรียกจำนวนคนติดตาม กดไลค์ กดแชร์
อย่างเช่น จุฬาฯ #เสาหลักจะไม่หักอีกต่อไป...ธรรมศาสตร์ #ที่ยุบอนาคตใหม่พี่มหา'ลัยกูทั้งนั้น...เชียงใหม่ #ช้างเผือกจะไม่ทน...เกษตรศาสตร์ #KUไม่ใช่ขนมหวานราดกะทิ...มหิดล #ศาลายางดกินของหวานหลายสี...รามคำแหง #ลูกพ่อขุนไม่รับใช้เผด็จการ...ศิลปากร #ศิลปากรขอมีซีน ... ศรีนครินทรวิโรฒ #มศวขอมีจุดยืน... ม.มหาสารคาม #ถึงจะอยู่ไกลขอส่งใจที่ลานแปดเหลี่ยม... ม.ขอนแก่น #KKUขอโทษที่ช้าโดนสลิ่มลบโพสต์...ม.กรุงเทพ #BUกูไม่ใช่สลิ่ม... ม.รังสิต #บลูบานเย็นไม่ได้เป็นขนมหวาน ...
แน่นอนว่าเมื่อกระแสพลังนักเรียน นักศึกษา เริ่มจุดติด..."คณะอนาคตใหม่" ที่เชี่ยวชาญใน "ปฏิบัติการIO"ผ่านโซเชียลฯอยู่แล้ว ย่อมไม่พลาดที่จะออกมา "โหนเด็ก" ส่งเสียงเชียร์ สนับสนุนการแสดงออกของลูกหลาน เยาวชน ว่าเป็น “พลังบริสุทธิ์” ที่ฝ่ายรัฐบาลไม่ควรใช้อำนาจเข้าไปแทรกแซง ขัดขวาง
ต้องไม่ลืมว่าพลังของนักเรียน นิสิต นักศึกษา นั้นได้เคยนำความเปลี่ยนแปลงให้เห็นในประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาแล้วหลายครั้ง และครั้งนี้ "ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล" ก็มีความคาดหวังลึกๆ อยากจะให้เป็นเช่นนั้น
อย่างไรก็ดี ความเป็นไปของปรากฏการณ์ “แฟลชม็อบนักศึกษา”ครั้งนี้ จะเป็นแค่กองไฟกองเล็กๆ ที่พอหมดเชื้อก็ดับไป หรือจะเป็นไฟป่าหน้าแล้ง ลุกโชนทำลายล้าง... ก็ขึ้นอยู่กับการสร้าง "มาตรฐานใหม่" ของ"รัฐบาลลุงตู่" เอง ... เรื่องนี้ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายรัฐบาล ให้ต้องหาทางผ่อนสถานการณ์ด้วยความละมุนละม่อม !!
**ไฟต์บังคับ!! รัฐบาลลุงตู่หมดเวลามะล่องก่องแก่ง ต้องช่วย "หมอหนู" สู้ไวรัสโควิด-19 ทุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจสุดตัว
ต้องบอกว่าตอนนี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เจอศึกในสภาฯ และนอกสภาฯ พร้อมๆ กัน
ในสภาฯก็คงไม่เท่าไหร่ เสร็จการอภิปรายฯ โหวตลงคะแนนกันไปยังไงๆ ในที่สุดตามกติกาเสียงของรัฐบาลย่อมจะทำให้ได้ภาพ "ไว้วางใจ" ให้บริหารประเทศต่อไป
ขณะที่ นอกสภาฯ หลังยุบอนาคตใหม่ ก็เกิด "แฟลชม็อบ" ของเหล่าเยาวชน นักศึกษา-เด็กนักเรียน ที่กำลังแพร่ระบาดในระดับที่พร้อมจะกลายเป็น "super spreder"
ดูได้จากกระแสการตื่นตัว ปากต่อปาก คนสู่คน จำนวนผู้ชุมนุม และ ความดุดัน เกรี้ยวกราดคิดอ่านบนโลกโซเชียลฯ
แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ลุงๆ ต้องเผชิญตามครรลองประชาธิปไตย ตามสิทธิ เสรีภาพ การแสดงออกของเด็กๆ เยาวชน ค่อยว่ากันไป
สิ่งที่รัฐบาลควรทำ และสังคมตอนนี้อยากเห็น กลับเป็นการแก้ปัญหาที่คนทั้งประเทศกำลังระทมทุกข์อย่างมากทั้ง สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 และ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ที่หนักหนาขึ้นทุกวัน
การแพร่ระบาดของไวรัส หลังจากเกิดเคส "มนุษย์ลุง" ปกปิดข้อมูล จนกลายเป็นความตื่นตระหนก และโกลาหลสุดๆ อย่างที่ "หมอหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข บอกเมื่อวันก่อน มาตรการการดูแลรับมือทำดีมาตลอด กลับมาพังเพราะคนที่ไม่รับผิดชอบต่อสังคม เจ้าหน้าที่ต้องเหน็ดเหนื่อยมากขึ้น และหากมีแบบนี้เกิดขึ้นอีก ก็ยากที่หลีกเลี่ยงการเข้าสู่ "ระยะ 3" คือการแพร่ระบาดในหมู่ชุมชนคนไทยด้วยกันออกไปอย่างกว้างขวาง
ถึงตอนนี้การเตรียมรับสถานการณ์ไวรัส ระยะ 3 ถือว่าสำคัญที่สุด อะไรก็เกิดขึ้นได้ คำถามคือ ลุงตู่ จะต้องช่วย "หมอหนู" อย่างไร
ความพร้อมของสถานรักษา แต่ละจังหวัด แต่ละอำเภอ ทั่วทั้งประเทศ มีมาตรการรับมือ แค่ไหน คำว่า "บูรณาการกันทุกภาคส่วน" ต้องเป็นรูปธรรมจริงๆจังๆได้แล้ว
ไหนจะเรื่องพื้นฐานมากๆ เช่น การดูแล จัดหา "หน้ากากอนามัย" ที่มีปัญหาขาดแคลน หรือ ที่พอหาได้ ก็ราคาแพงลิบลิ่ว
ฟังว่า กระทรวงพาณิชย์จัดการแก้ไขจะส่งหน้ากากอนามัยธงฟ้าราคาประหยัด 4 ชิ้น 10บาท กระจายลงร้านสะดวกซื้อ ให้ประชาชนไปซื้อหาได้ง่าย
แต่ก็มีคนติติงว่า... งานนี้เตะหมูเข้าปากหมา เอื้อประโยชน์ให้นายทุนอีกแล้ว ก็เห็นๆ ว่าร้านสะดวกซื้อได้เปอร์เซ็นต์ค่าวางจำหน่ายแน่ๆ 20-30% แทน ที่จะมีวิธีแก้ปัญหาการกระจายให้ทั่วถึงกว่านี้
รัฐบาลอย่าเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย หน้ากากอนามัยป้องกันเชื่อโรค ที่ได้มาตรฐาน ราคาสมเหตุสมผลนี่แหละ จะเป็นตัวบ่งชี้ว่า ในยามยาก การดูแลรักษาสุขภาพตัวเอง สู้ภัยไวรัส รัฐบาลเป็นที่พึ่งของประชาชน ได้หรือไม่ ?
พูดถึงรัฐบาลเป็นที่พึ่ง ปากท้อง และภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส โควิด-19 ก็เป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วนที่ลุงตู่ ต้องกล้าคิดกล้าทำ ยกระดับ การกระตุ้นเศรษฐกิจให้สุดตัว
เศรษฐกิจที่ถูกพิษไวรัส เล่นงานวันนี้ สาหัสสากรรจ์ทุกหย่อมหญ้า ภาคการท่องเที่ยว การค้า ลามไปถึงภาคการผลิต ธุรกิจเกี่ยวข้อง จนไปถึงบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้น จำเป็นต้องใช้ "ยาแรง" กระตุ้นกันก็ต้องทำ เพื่อความอยู่รอด
อยากบอกลุงๆว่า หมดเวลาแดนซ์ มะล่องก่องแก่ง ได้แล้ว ถ้าไม่ทำให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ "แฟลชม็อบ"ระบาดหนักขึ้น ก็อย่าหาว่าไม่รัก ไม่เตือนกันไม่ได้นา.