xs
xsm
sm
md
lg

#รู้ทัน IO ยุทธการล้อมปราบ ทลายรังไอโอทหาร VS “IO สีส้ม” และขบวนการซอมบี้รุมทึ้งคนเห็นต่าง ** “ปู่-ย่า” กลับจากเที่ยวญี่ปุ่น ติดเชื้อโควิด-19 ลามไปถึงหลานทำเอาอีกกว่า 100 ชีวิตต้องถูกกักตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว



**#รู้ทัน IO ยุทธการล้อมปราบ ทลายรังไอโอทหาร VS “IO สีส้ม” และขบวนการ “ซอมบี้” รุมทึ้งคนเห็นต่าง เมื่อท่านว่าเรามี ท่านก็มีเหมือนกัน...เยอะด้วย!!

ว่าด้วย #รู้ทันIO หรือปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสาร IO (Information Operation) กลายเป็นกระแสร้อนในโลกโซเชียลฯ หลังจาก "วิโรจน์ ลักขณาอดิศร" ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตพรรคอนาคตใหม่ อภิปรายไม่ไว้วางใจ กล่าวหา "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรีและรมวงกลาโหม ว่าใช้เงินภาษีรัฐมาจัดตั้งกองทัพ IO ถล่มฝ่ายตรงข้าม โดยใช้กำลังพลของกองทัพที่ถูกฝึกปฏิบัติการ ผ่านเว็บไซต์ หรือเปิดเพจเฟซบุ๊ก และโซเชียลมีเดีย ซึ่ง "วิโรจน์" อ้างว่ามีคลิปวิดีโอ "แฉความลับ" โดยทหารที่เคยมีส่วนร่วมกับ ปฏิบัติการ IO ของกองทัพบก แต่ท้ายที่สุด ถูกประธานสภาฯ สั่งระงับไปเมื่อคืนก่อน

ในคลิปนี้ ใครได้ดูก็จะเห็นว่า ลักษณะเป็นการพูดคุยกันของสองคน ผู้สัมภาษณ์หญิง และผู้ให้สัมภาษณ์ชาย ที่ผ่านการปรับแต่งเสียง เปิดเผยถึงการทำงาน IO ตั้งแต่ประชุมวางแผนอย่างไร กำหนดภารกิจ ให้คอมเมนต์ แชร์ ข่าวที่เชียร์รัฐบาล เพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล และคอย “รีพอร์ต” หรือแจ้งรายงานบัญชีฝ่ายที่เห็นต่าง ทำงานสั่งการผ่าน กลุ่ม LINE ซึ่งคนให้สัมภาษณ์ระบุว่า ทำกันเป็นหน่วย และอาจจะทั้งกองทัพ ... พร้อมกับการแสดงตัวอย่างการทำงาน การเก็บผลงานที่ทำ รวมถึง เพจ IO ของทหารหลายเพจ ที่เป็นที่รู้จักกันในโลกโซเชียลฯ เช่น “เชียร์ลุง” “ลุงตู่ตูน” โดยทหารที่ทำจะได้ค่าจ้างเดือนละ 100-300 บาท และโบนัสตามภารกิจที่ได้โล่อีก 2,000-3,000 บาท

หลังเปิดประเด็นนี้ออกไป ทวิตเตอร์ @ Fansamkok ของ “ชัชวนันท์ สิทธิเดช” คณะทำงานอดีตพรรคอนาคตใหม่ และผู้ชำนาญการประจำตัว ส.ส. โพสต์ข้อความและภาพเบื้องหลังการออกอากาศ และเตรียมข้อมูลเรื่องIO ฝ่ายทหาร ระบุว่า “เตรียมตัวกันมานานมาก สุดท้ายปฏิบัติการบุกรัง IO ก็เสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี ในนามของทีม ส.ส.วิโรจน์จากพรรคที่มีคนเลือกมา 6 ล้านกว่า ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมกันบุกยึดรังของมันวันนี้ ครับ” และยังกล่าวอีกว่า “อยากบอกพวก IO ที่ถูก ส.ส.วิโรจน์ และประชาชนบุกทลายรังเมื่อคืนนี้ ข้อมูลทั้งหมดมาจากคนในของคุณทั้งนั้นแหละครับ เขาคือคนที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำอย่างนี้ วิธีแก้ ไม่ใช่การไปไล่จับหนอน แต่คือเลิกเอาภาษีประชาชนไปทำให้คนไทยเกลียดชังกันเอง เลิกได้แล้วครับ”

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
อารมณ์นี้ของทีมงานอดีตพรรคอนาคตใหม่เข้าใจได้ ประมาณเกมนี้ได้ชัยชนะ ได้ “กระชากหน้ากาก” ของรัฐบาลเป็นผลสำเร็จ ขณะที่ฟาก “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ แน่นอน ย่อมปฏิเสธทันควัน โดยยืนยันไม่มีนโยบายให้ทำ IO และก็ชี้ให้เห็นว่า ในโซเชียลฯ มีการทำแบบนี้มากมาย... “ผมเองก็โดนซะเยอะเลยในนั้น เห็นไหม ใครทำก็ไม่รู้เหมือนกัน” และทิ้งบอมบ์ไปด้วยว่า “บางพรรคก็ทำเยอะ”

บางพรรคที่ทำเยอะที่ลุงตู่ว่า คือ พรรคไหน? ก็ช่างบังเอิญเหลือเกินว่า ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เฟซบุ๊กเพจ “ดร.โจ ชาญวิทย์ ใจสว่าง” ของ ชาญวิทย์ ใจสว่าง อดีตผู้สมัคร ส.ส.ชุมพร เขต 1 พรรคอนาคตใหม่ คนคุ้นเคยของเหล่าติ่งส้มหวาน ได้แฉ “ทีมเฝ้าหน้าจอ” ของทุกคนที่วิจารณ์พรรค หรือทีม IO ภารกิจและเป้าหมายเหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่ ไซส์ใหญ่บิ๊กเบิ้มฟอร์มฮอลีวูด กว่ากันเยอะ ด้วยการสร้าง “เฟซบุ๊กอวตาร” นับร้อย และทีมทวิตเตอร์ ปั่นแฮชแท็ก ให้ติดยอดนิยมแบบชิลๆ สร้างอุปทานหมู่ Save นั่น Save นี่ มีทีมงานครีเอทีฟระดับเคยทำงานกับบริษัทเอเยนซีโฆษณาดัง และบริษัทดูแลเว็บไซต์ออกแบบเป็นระบบ มีโปรแกรมใช้เครื่องมือ “โซเชียลมอนิเตอร์” จัด “ข้อความ” จูงใจ โน้มน้าวให้คนรุ่นใหม่ที่ใช้โซเชียลฯ คล้อยตาม และยุยงให้คนเกลียดชังฝ่ายที่เห็นต่าง ทำงานกันตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน งบประมาณก็ว่ากันว่า หลักร้อยล้าน!

“ศุภชัย ใจสมุทร” ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทย ก็แฉกลางสภาว่า มี ส.ส.บางพรรคที่ถูกยุบไป มีส่วนสัมพันธ์กับเพจเฟซบุ๊กบางเพจที่มีลักษณะ “IO สีส้ม” คอยกุข่าว บิดเบือนโจมตีพรรคร่วมรัฐบาล พร้อมระบุว่า “วิโรจน์” คนแฉไอโอทหารก็รับข้อมูลมาจากเพจไอโอเช่นกัน โดย “ศุภชัย” ทิ้งหมัดไปอีกว่า “วันนี้ท่านบอกว่าเรามีไอโอ ท่านก็มีไอโอ”

ในความเห็น “ศุภชัย” จึงเป็นความย้อนแยงในตัวเองของ "วิโรจน์" รวมทั้งทีมงานของอดีตพรรคอนาคตใหม่ ที่อ้างว่า กองทัพ หรือหน่วยงานรัฐทำ IO โดยไม่ส่องกระจกดูตัวเองและเครือข่าย อาจเป็น “ตัวพ่อ” ที่ทำIO ปลุกปั่นสร้างความเกลียดชังแบ่งแยกประชาชนไม่ต่างกัน... ใช่หรือไม่?

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร - ศุภชัย ใจสมุทร
ขณะที่เพจของพรรคพลังประชารัฐ ระหว่างที่ “วิโรจน์” กำลังอภิปรายในสภาฯ เมื่อช่วงดึกวันที่ 25 ก.พ. แอดมินเพจ พปชร. ขึ้นข้อความว่า “จะนอนอยู่แล้วเชียววววววว” พร้อมขึ้นภาพข้อความกราฟิกว่า “ช่างกล้าพูดรัฐบาลมีไอโอ แอดโดนซอมบี้รุมทุกวัน ถ้าไม่เชื่อลงไปดูคอมเมนต์ข้างล่างสิ”

ปรากฏเป็นไปตามคาด "ซอมบี้" มากันพรึ่บ!

ต้องบอกว่า “ฝูงซอมบี้” เป็นชื่อที่ใช้เรียกในหมู่ผู้ใช้โซเชียลฯ ให้กับ บรรดาทีม IO ที่สร้างชื่อขึ้นมาพร้อมๆ กับการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ มีหน้าที่รุมทึ้ง รุมด่า รุมรีพอร์ต คนที่วิพากษ์วิจารณ์พรรคส้ม

ว่ากันว่า การประดิษฐ์วาทกรรมด่ากราดคนที่ไม่คิดเหมือนตัวเองอย่าง “สลิ่ม” ตอกลิ่มความขัดแย้งในสังคม ก็มาจากการทำงานของ IO เหล่านี้

งานนี้แฉกันออกมาเยอะๆ ก็ดี เพราะ ไม่ว่าจะเป็น IOทหาร หรือ IOสีส้ม อย่างน้อยจะทำให้สังคมได้ # รู้ทันIO

** "ปู่-ย่า" ที่มองข้ามความปลอดภัย!! กลับจากเที่ยวญี่ปุ่น แล้วมีอาการไข้แต่ไม่ไปหาหมอ ทนอยู่ 3 วันจนเชื้อ "โควิด-19" ติดไปถึงหลานชาย... ทำเอาอีกกว่า 100 ชีวิต ที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ต้องถูกกักตัว อยู่ในอาการหวาดผวา!! บทเรียนนี้ เป็นสิ่งที่ต้องย้ำเตือนว่า ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ให้การระบาดของโรคกระจายออกไปในวงกว้าง

สถานการณ์การระบาดของ "โควิด-19" ในภาพรวม เริ่มระบาดออกจากจีน ลุกลามไปยังหลายประเทศแล้ว ทั้งโดยรอบประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ประเทศในย่านอาเซียน ตะวันออกกลาง และ ยุโรปอีกหลายประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นการแพร่ระบาดในระยะที่ 2 คือ แพร่จากคนสู่คนอย่างชัดเจนแล้ว เพียงแต่ยังอยู่ในวงจำกัด และกำลังจะเข้าสู่ระยะที่ 3 คือ การแพร่ระบาดออกไปในวงกว้าง จากคนที่ติดเชื้อคนเดียว แต่แพร่ไปถึงคนอื่นๆ อีกนับสิบ !!

อนุทิน ชาญวีรกูล
สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะมีข่าวว่า มีผู้ติดเชื้อที่โน่น ที่นี่ แต่ก็ไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่เฝ้าระวัง ดูแล จึงถูกมองว่าเป็น "เฟกนิวส์" ... เพราะทางการยืนยันว่าไม่พบผู้ป่วยเพิ่ม มีแต่คนที่หายจากอาาการป่วยเพิ่มขึ้น

กระทั่งเมื่อวานนี้ (26 ก.พ.) จึงได้มีการยืนยันจาก "นพ.สุขุม กาญจนพิมาย" ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ “นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย” อธิบดีกรมควบคุมโรค ว่าพบผู้ป่วยในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 3 ราย เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน คือ "ปู่-ย่า-หลาน"

โดย "ปู่-ย่า" กลับมาจากท่องเที่ยวที่เมืองฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ... ในวันที่กลับมาก็ยังปกติ ไม่มีอาการไข้ แต่หลังจากนั้นเริ่มมีอาการไอ และมีไข้ แต่ก็ยังรักษาตัวเองอยู่ที่บ้าน กระทั่ง 3วันผ่านไป อาการเริ่มหนัก จึงไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ผลการตรวจจากห้องแล็บก็ได้รับการยืนยันว่า ติดเชื้อ "โควิด-19" และมีอาการปอดบวมแล้ว จึงส่งตัวไปรักษา ที่สถาบันบำราศนราดูร

ส่วนเด็กที่เป็น "หลานชาย" อายุ 8 ขวบ ไม่ได้เดินทางไปญี่ปุ่นด้วย เพียงแต่คลุกคลีใกล้ชิดอยู่กับ "ปู่-ย่า" จึงติดเชื้อและมีอาการไข้ไปด้วย ขณะที่คนอื่นในครอบครัว ยังไม่แสดงอาการ ...แต่ก็ถือว่ามีความเสี่ยงสูง ที่จะได้รับเชื้อเข้าไปด้วย

เมื่อข่าวดังกล่าวเผยแพร่ออกไปก็กลายเป็นประเด็นร้อนในโซเชียลฯ ทันที เพราะเป็นการยืนยันว่า "โควิด-19" แพร่จากคนสู่คน โดยไม่ต้องอาศัยพาหะอื่น จำพวกสัตว์ที่ต้องสงสัยทั้งหลาย อย่างที่เคยกล่าวถึงกัน ...

ทางกระทรวงสาธารณสุข จึงได้ติดต่อไปยังสายการบินที่ "ปู่-ย่า" ทั้งสอง เดินทางกลับจากญี่ปุ่น ให้แจ้งแก่ผู้โดยสารที่เดินทางมาในเที่ยวบินเดียวกัน ขอความร่วมมือให้มารับการตรวจโรค หรือ กักตัวเอง 14 วัน เพื่อรอดูอาการ หรือถ้าพบว่ามีไข้ ก็ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที ...ขณะที่โรงพยาบาลเอกชน ที่ "ปู่-ย่า" ไปรักษา ซึ่งมีบุคลากรประมาณ 40 คน ก็ต้องอยู่เฝ้าดูอาการในห้องปลอดเชื้อทั้งหมด... โรงเรียนที่ "หลานชาย" เรียนอยู่ ก็สั่งปิด 14 วัน ขณะที่ธนาคาร ที่คนในครอบครัวนี้ทำงานอยู่ ก็สั่งปิดเป็นเวลา 14 วันเช่นกัน...

จากคนแค่ 2 คน ที่เป็นต้นเหตุ ทำเอาอีกกว่า 100 คน ต้องตกเป็นผู้ที่อยู่ในข่าย "เฝ้าระวัง" ... เรียกได้ว่า สังคมคนกรุงเมื่อวานนี้ ตกอยู่ในอาการหวาดผวาถึงขั้น "แตกตื่น" กับข่าวนี้... ขนาดที่ตลาดหุ้น ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงขาลงอยู่แล้ว ยิ่งดิ่งหนัก ทำสถิติในรอบหลายปีไปถึง 70 กว่าจุด !!

"หมอหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ได้รีบออกมาเตือนให้สังคมได้ตระหนักว่า การ

"ดูเบา" ต่อการแพร่ระบาดของ "โควิด-19" ของ "ปู่-ย่า" ครั้งนี้ ทำให้ประเทศไทย มีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่การระบาดในระยะที่ 3...คือระบาดออกไปในวงกว้าง !!

...แต่ถ้าสังคมร่วมกันตระหนักถึง"พิษภัย"ของโรคนี้ เราก็มีวิธีการที่จะหยุด หรือยืดระยะเวลาเข้าสู่ระยะที่ 3 ได้ด้วยการดูแลตัวเองให้ปลอดภัย กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ อยู่ห่างไกลคนไอ จาม หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีการจัดกิจกรรม และมีชุมนุมชนจำนวนมาก ใครที่เป็นหวัด ไอ จาม ต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา และรีบไปพบแพทย์ ให้ข้อมูลรายละเอียดให้มากที่สุด และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

ที่สำคัญคือ ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า การปกปิดข้อมูล และสาเหตุอาการป่วย อาจจะทำร้ายคนในครอบครัว และคนที่คุณรัก ให้เจ็บป่วย และเสียชีวิตได้ หากรักษาไม่ทัน เพราะไม่รู้สาเหตุของโรค !!

"หมอหนู" ยังฝากเตือนดังๆ ไปถึงภาคธุรกิจ โดยฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว สายการบิน ที่จัด "โปรโมชัน" ลดราคา ดึงดูดใจให้เดินทางไปยังประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการติดโรค ...อย่างไปญี่ปุ่น 2-3 พันบาท ค่าตั๋วถูก แต่อาจจะต้องเสียค่ารักษาแพง หรืออาจเป็นการเที่ยวครั้งสุดท้ายก็ได้ จึงขอให้ประชาชนหักห้ามใจด้วย...


ถึงเวลานี้ก็ต้องย้ำว่า...ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคม ร่วมกันหยุดยั้ง "โควิด-19" ไม่ให้ระบาดไปสู่ระยะที่ 3 เพราะถ้าไปถึงขั้นนั้น ความอันตราย ความเสียหายต่อประเทศชาติ จะรุนแรงเกินกว่าที่คาดคิด !!





กำลังโหลดความคิดเห็น