นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ชี้แจงว่า โครงการเน็ตประชารัฐ เป็นโครงการของ กสทช. ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ขึ้นกับนายกรัฐมนตรี การดำเนินการเป็นไปตามนโยบายของหน่วยงานตัวเอง โดยมีหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ประชาชนอย่างทั่วถึง ทั้งนี้ โครงการเน็ตประชารัฐครอบคลุมพื้นที่ 24,700 หมู่บ้าน เป็นโครงการที่ใช้งบประมาณจากการประมูล 4G โดยดำเนินการตั้งแต่ปี 2559 และเสร็จสิ้นเมื่อปี 2560 ส่วนโครงการยูโซ่เน็ต ใช้งบของกองทุน กสทช. ที่ได้จากค่าธรรมเนียมการให้บริการเครือข่ายมือถือของบริษัทต่างๆ ซึ่งเก็บได้ร้อยละ 2.5 ต่อไป หรือ 6-7 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งงบดังกล่าว กสทช. มีนโยบายเพื่อหวังเครือข่ายในพื้นที่ชนบทห่างไกลตามจังหวัดต่างๆ ประมาณ 15,700 หมู่บ้าน ซึ่งตนเข้าใจว่า สมาชิกที่อภิปรายเรื่องดังกล่าวอาจสับสน โดยเอาโครงการเน็ตประชารัฐ กับโครงการยูโซ่เน็ต มารวมกัน
นายพุทธิพงษ์ กล่าวยืนยันว่า การใช้จ่ายงบโครงการเน็ตประชารัฐ ได้รับการตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ส่วนโครงการยูโซ่เน็ต จะดำเนินการแล้วเสร็จในปีนี้ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ จึงสรุปได้ว่า งบประมาณที่ใช้ในโครงการเน็ตประชารัฐ และโครงการยูโซ่เน็ต ได้มาจากการประมูล 4G และค่าธรรมเนียม ซึ่งไม่ใช่งบประมาณที่แยกต่างหาก หรือเป็นงบประมาณที่ตรวจสอบไม่ได้ ส่วนการประมูล 5G ที่ผ่านมา มีการแข่งขันกันสูงมีงบประมาณกว่าแสนล้านบาท โดยระบุไว้ในเงื่อนไขว่า ภายใน 1 ปี ต้องดำเนินการในพื้นที่อีอีซี และเมืองใหญ่ให้แล้วเสร็จ พร้อมทั้งมีการกำหนดอัตราค่าบริการไว้อย่างชัดเจน ทำให้เชื่อได้ว่า ประชาชนจะไม่ได้รับผลกระทบหรือต้องแบกภาระอะไร ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าการประมูล 5G ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนแต่อย่างใด แต่เป็นการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นทางเลือกในการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ซึ่งเป็นการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเชื่อมั่นว่า จะสร้างความคุ้มค่า และผลประโยชน์ให้กับประเทศ