“สมคิด” เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ จี้ กระทรวงดีอีเอส ปั้นโครงการค้างฟ้า 5 โครงการหลัก หวั่นแข่งกับประเทศเพื่อนบ้านไม่ทัน ย้ำ 'เน็ตประชารัฐ' ต้องเปิดให้เอกชนเชื่อมต่อเร็วที่สุด พร้อมเจรจาเคเบิ้ลใต้น้ำเส้นจีน-ไทย เหตุเส้นใหม่ล่าช้า เร่งดีป้าดึงนักลงทุนลงดิจิทัล พาร์ค - ปั้นสตาร์ทอัป และ ผลักดันสมาร์ท ซิตี้ เมืองใหม่
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการเข้าเยี่ยมกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ว่า กระทรวงดีอีเอสเป็นกระทรวงที่สำคัญทางเศรษฐกิจจึงได้ให้เร่งดำเนินโครงการที่สำคัญๆ 5 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการเน็ตประชารัฐ ต้องสามารถเปิดให้เอกชนสามารถเชื่อมต่อเพื่อให้บริการกับประชาชนได้อย่างทั่วถึง ทั้ง การศึกษา สาธารณสุข และการท่องเที่ยว 2.โครงการเคเบิ้ลใต้น้ำระหว่างประเทศระบบใหม่ ที่ล่าช้า เพราะพาร์ทเนอร์ต่างประเทศติดปัญหาการประสานงานภายในประเทศ จึงได้เสนอให้ทำเส้นที่มีอยู่แล้วคือเส้นทางจีน-ไทย ในการสร้างความร่วมมือร่วมกัน
3. โครงการดิจิทัล พาร์ค ที่กำลังออกโรดโชว์ต้นปีหน้าว่าต้องทำทีโออาร์ให้ชัดเจนในการดึงต่างชาติมาลงทุน 4.การผลักดันและสนับสนุนสตาร์ทอัป ไทย ให้มีศักยภาพเทียบเท่ากับสิงคโปร์ ทั้งเรื่องของกฎหมายในการส่งเสริมและการทำงานร่วมกับภาคเอกชน และ 5. การพัฒนาสมาร์ท ซิตี้ ในเมืองใหม่ ซึ่ง 3 เรื่องหลังนี้ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ต้องเป็นหน่วยงานสำคัญในการขับเคลื่อน
ขณะที่ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส กล่าวว่า ความคืบหน้าของการเปิดให้เอกชนมาเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐที่ กระทรวงได้ว่าจ้างให้ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ทำนั้น ยังอยู่ระหว่างการทำร่างสัญญา โอเพ่น แอ็คเซ็ส ให้สำนักงานอัยการสูงสุดตีความ และขอย้ำว่าโครงการนี้เป็นของกระทรวงไม่ใช่ทีโอที ดังนั้น กระทรวงจะเป็นผู้กำหนดราคาเอง
ส่วนความคืบหน้าในการหาเอกชนเข้ามาร่วมโครงการ ดิจิทัล พาร์ค นั้น ตอนนี้มีพาร์ทเนอร์ต่างประเทศรายใหญ่ที่สนใจร่วมลงทุนอย่างแน่นอนแล้ว 2-3 ราย ซึ่งในวันที่ 13 ธ.ค.นี้ ตนเองจะหารือกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในการขอสิทธิพิเศษเพิ่มเติมนอกจากภาษีที่ให้ เช่น การขยายพื้นที่นอกเหนือ อีอีซี เพิ่อเพิ่มความสะดวกในการทำงานต่อพาร์ทเนอร์ต่างชาติ และ การขยายธุรกิจใหม่ๆที่เกี่ยวกับดิจิทัลเพื่อให้สามารถรับสิทธิประโยชน์บีโอไอได้
ด้านพ.อ. สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการเคเบิ้ลใต้น้ำระหว่างประเทศเป็นโครงการที่พาร์ทเนอร์ต่างชาติล่าช้าเอง และโครงการนี้เป็นการสร้างเส้นใหม่จึงต้องใช้เวลา 2 ปี ดังนั้นคาดว่าจะเสร็จภายในปี 2565 จึงล่าช้าเกินไปในการแข่งขันเพื่อดึงนักลงทุนมาลงทุนในประเทศ
รองนายกรัฐมนตรี จึงต้องการให้ประสานความร่วมมือในการเจรจาทำโครงการสายเคเบิ้ลกับประเทศจีน ที่จีนได้ลงทุนแล้วและพาดสายผ่านประเทศลาวมายังประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยเคยเจรจากับจีนมาแล้วครั้งหนึ่งแต่ยังไม่ได้ข้อสรุป ดังนั้นประเทศไทยจึงจะเจรจากับประเทศลาวในการเป็นพาร์ทเนอร์เจรจาเรื่องราคากับประเทศจีนเพื่อหาลูกค้าผ่านทางเส้นทางนี้ คาดว่าจะสามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้