วิปฝ่ายค้าน อัด ศก.ไทยตกต่ำสุดยุคนี้ มาจากนโยบายประชารัฐ ชี้นายกฯ มีปมด้อยมาจากยึดอำนาจ หวังเลือกตั้งฟอกตัวแต่โลกยังแอนตี้ คนรวยกวาดรายได้สวนทางคนจน อัดโครงการประชารัฐเสมือนเปิดเสือเข้าห้องเนื้อสด ปล่อย 24 กลุ่มทุนโกยประโยชน์
วันนี้ (25 ก.พ.) นายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน อภิปรายว่า ตั้งแต่มีประเทศไทยมาประมาณ 700 ปี ผ่านวิกฤตมาแล้ว 4 ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเสียกรุงศรีอยุธยา การตกเป็นประเทศแพ้สงครามในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 มาจนถึงการเผชิญกับลัทธิคอมมิวนิสต์ และสงครามเศรษฐกิจปี 2540 และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 โดยครั้งนี้ยังเป็นวิกฤตเศรษฐกิจมีการต่อสู้ล้ำลึก วันนี้เป็นการตกต่ำที่สุดของเศรษฐกิจไทยและเกิดความเหลื่อมล้ำ มาวันนี้ถึงขั้นสุดแล้ว คนรวยไม่มีโอกาสจน คนจนไม่อาจมองหาโอกาสรวยได้ วิกฤตครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนทำโดยมีสารตั้งต้นมาจากนโยบายประชารัฐ
“การยอมรับความจริงคือการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน แต่รัฐบาลพยายามบอกว่าเรามาถูกทาง แต่ผมคิดว่าไม่ใช่ รัฐบาลบอกว่าเศรษฐกิจไทยยังดีและฐานะมั่นคง แต่กลับลืมไปว่าการขยายตัวของจีดีพีไม่อาจนำไปเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วได้ เพราะเมื่อประเทศได้พัฒนาแล้วย่อมมีการขยายตัวเต็มที่ทำให้โอกาสการขยายตัวเพิ่มอีกมีน้อยมาก ดังนั้น ถ้าจะเทียบต้องเทียบกับรายได้ต่อหัว และนำเอาอัตราการว่างงานมาเปรียบเทียบด้วยเช่นกัน วันนี้หนี้สินครัวเรือนอาจขึ้นมาถึง 80% ต่อจีดีพี บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังไปไม่ได้” นายสุทินกล่าว
นายสุทินกล่าวว่า รัฐบาลมีการอ้างว่าปัญหาเศรษฐกิจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ปัญหาสงครมการค้า ค่าเงินบาทแข็ง และไวรัสโคโรนา รวมทั้งโควิด-19 รัฐบาลพูดจริงบางส่วนแต่ปกปิดบางประการ เนื่องจากสาเหตุที่วันนี้การแก้ไขเศรษฐกิจทำได้ยากเพราะนายกฯ มีปมด้อย เนื่องจากมาด้วยการยึดอำนาจ ทั่วโลกบอยคอต ยุโรปมีมาตรการลงโทษ จีดีพีของไทยคิดเป็นสัดส่วน 70 : 30 โดย 70% เป็นเม็ดเงินจากต่าประเทศ แต่เวลานี้เม็ดเงินส่วนนี้กำลังหายไปเพราะต่างประเทศชะลอการลงทุน อีกทั้งไม่เชื่อมั่นในตัวนายกฯ ส่วนอีก 30% นั้นส่วนหนึ่งมาจากงบประมาณของประเทศไทย แต่เวลานี้งบประมาณก็ยังไม่ประกาศออกมา
“มีการคิดว่าเลือกตั้งแล้วจะฟอกได้ แต่ปรากฏว่าโลกยังไม่ยอมรับ เพราะการที่นายกฯ ไปต่างประเทศมานั้นเราไม่เคยได้อะไรกลับมา อย่างสหรัฐอเมริกาจะให้พบผู้นำประเทศได้ก็จะต้องดูชอบปิ้งลิสต์ก่อน แต่ต่อมาไทยถูกตัดจีเอสพี เศรษฐกิจตกต่ำทุกวันนี้ไม่ว่าจะอ้างอะไรก็ตาม แต่กลับลืมตัวนายกฯ เอง ยิ่งไปกว่านั้นในประเทศยังไม่เกิดนิติธรรม ทำให้ความเชื่อมั่นไม่ตามมา โดยเฉพาะการปิดเหมืองทองอัครา ปัญหาใหญ่วันนี้คือเศรษฐกิจตกต่ำและเกิดความประหลาด โดยชาวบ้านและประเทศจน แต่มีคนรวยที่รวยขึ้น ผมไม่ได้รังเกียจคนรวย แต่ต้องดูแลให้เขาสร้างเศรษฐกิจให้ประเทศและช่วยคนจนด้วยโครงสร้างภาษี แต่วันนี้เป็นการรวยที่รวยขึ้นสวนทางกลับประเทศ นี่เป็นความเหลื่อมล้ำชัดเจน” ประธานวิปฝ่ายค้านกล่าว
ประธานวิปฝ่ายค้านขยายความอีกว่า บริษัทใหญ่เพียง 5% กลับครองรายได้ถึง 95% ต่างจากบริษัทเล็ก 95% ที่ครองรายได้เพียง 5% เป็นการแย่งเศษเนื้อข้างเขียง รัฐบาลที่ผ่านมาตัวเลขความเหลื่อมล้ำเป็นแบบนี้หรือไม่ มันผิดปกติที่รัฐบาลชุดนี้ครับ วันนี้อยากฟังคำตอบจากรัฐบาลว่าทำไมถึงรวยมากขึ้นใน 5 ปี ถ้าเขารวยมาโดยสุจริจก็ชื่นชมครับแต่ยังตอบไม่ได้ ก็ต้องตำหนิเพราะไม่มีทางแก้ไขปัญหาได้เลยถ้ายังไม่รู้ต้นเหตุของปัญหา
“ประชารัฐเป็นแนวคิดที่ดี แต่พอทำจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเป็นการทำ “เอกรัฐ” คือ เอกชนและรัฐเท่านั้น ไม่มีประชาชนเลย เปิดประตูให้เอกชนเข้ามานั่งบริหารประเทศและกำหนดไปถึงรายละเอียดผ่านคณะทำงานขับเคลื่อนร่วมภาครัฐกับเอกชน เปิดให้เสือไปถึงห้องเนื้อสด ประชาชนไม่มีส่วนร่วมเลย เพราะติดขัดมาตรา 44 กลัวโดนปรับทัศนคติ บรรยากาศอย่างนั้นหรือที่จะสามารถสร้างประชารัฐได้ จึงเหลือแต่เอกชนกับรัฐบาลจนกลายเป็นเอกรัฐ กลุ่มทุนประชารัฐ 24 ทุนได้งานและโครงการมากมายมหาศาล วันนี้ไม่มีทางกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการบริโภคได้เพราะประชาชนไม่มีเงิน โดยมาจากการที่เศรษฐกิจฐานรากถูกทำลายแล้วและทอดทิ้งเกษตรกร ถ้าทักษิณอยู่ก็จะไม่ทำแบบนี้” นายสุทินกล่าว
นายสุทินกล่าวอีกว่า ความเหลื่อมล้ำจะอยู่อีกนานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล คนมีเงินมากก็จะเป็นปลาใหญ่กินปลาเล็ก ถ้าปล่อยอย่างนี้จะตายกันหมด ใน 5 ปีของนายกฯ มีข้อสรุปชัดเจน ร้านค้ารายใหญ่ขยายสาขาครอบคลุมทุกชุมชน ใครมีอำนาจก็มีเงินและยึดตลาด วันนี้เศรษฐกิจชุมชนพังพินาศ ทางแก้ไขยังพอมีอยู่โดยรัฐบาลต้องถามใจตัวเองว่ายังมีชาวบ้านอยู่หรือไม่ หรือมีแต่กลุ่มทุน ถ้าหัวใจท่านแกร่งพอก็แก้ไขปัญหาได้ โดยใช้ระบบภาษีอัตราก้าวหน้าเพื่อเอามาเจือจุนคนจน
“ความเหลื่อมล้ำที่ผมว่ามาทั้งหมดบางคนอาจมองวิตกเกินไปนั้นแต่ผมมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะกำลังเป็นการไล่ล่าอาณานิคมกันในประเทศด้วยคนไทยด้วยกัน โดยมีกรรมการที่ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่คอยส่งเสริม ถ้าปล่อยให้ความเหลื่อมล้ำเดินหน้าต่อ คนจนจะไม่มีกิน อาชีพถูกยึดหมด เรียนจบมาตกงานกันหมด ไปทำงานโรงงานก็เจอกับสภาพที่โรงงานปิดทุกวัน อีกทั้งหุ่นยนต์จะเข้ามาแทนแรงงาน พอจะกลับไปค้าขายที่บ้านก็เจอกับทุนใหญ่ร้านสะดวกซื้ออีก เมื่อคนไม่มีทางไปย่อมจะเกิดความขัดแย้ง ซึ่งเป็นภูเขาเกลือที่เมื่อถึงจุดหนึ่งคนในสังคมจะอยู่กันไม่ได้ ท่านรักความมั่นคงขนาดไหนก็ตาม แต่มิติใหม่ในเรื่องความมั่นคงไม่ใช่เรื่องดินแดนอีกแล้ว แต่เป็นการแย่งชิงทรัพยากรเพื่อปากท้อง” นายสุทินกล่าว
นายสุทินกล่าวว่า ชาวบ้านถามว่าจะปลดนายกฯ ได้หรือไม่ ตนบอกว่าอย่าตั้งความหวังขนาดนั้น แต่สำหรับตนเองมองข้ามไปแล้ว เพราะสนใจว่าประเทศไทยจะอยู่กันอย่างไรมากกว่าภายใต้ความเหลื่อมล้ำ ดังนั้น ขอไม่ไว้วางใจให้นายกฯอยู่ในตำแหน่งต่อไป เพราะเห็นแล้วว่าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ เอื้อประโยชน์คนรวยไม่ช่วยคนจน ยิ่งให้อยู่ต่อไป อ้อยจะดึงจากปากช้างไม่ได้ และเกิดวิกฤตสังคมทั้งประเทศไทย การยุบสภาไม่ใช่ทางออก เพราะไม่ใช่ความผิดของสภา จึงต้องลาออกเท่านั้น