“อนุพงษ์” แจงกฎหมายภาษีที่ดินเริ่มเก็บที่ 50 ล้านบาท เป็นเกณฑ์ที่ สนช.วางไว้ เพื่อเจตนาเก็บภาษีคนรวย ลดความเหลื่อมล้ำ ย้ำไม่สามารถกลับไปใช้หลักเกณฑ์เดิมได้ เตรียมเดินหน้าจัดเก็บ ส.ค. อีก 2 ปีปรับอัตราใหม่
วันนี้ (17 ก.พ.) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรื่องการจัดเก็บที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างปี 2562 เกี่ยวกับความคืบหน้าการออกกฎหมายลำดับรองของกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง และความชัดเจนเกี่ยวกับการจัดประเภทที่อยู่อาศัย เนื่องจากมีปัญหาในทางปฏิบัติและยังมีความเข้าใจไม่ตรงกัน
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ชี้แจงย้อนไปถึงภาษีโรงเรือนและที่ดินในอดีตซึ่งใช้วิจารณญาณในการเก็บจนเกิดการประพฤติมิชอบ ทำให้รัฐไม่เคยได้เงินจัดเก็บภาษี ส่วนภาษีบำรุงท้องที่ในอดีตนั้น อัตราราคากลางประเมินครั้งสุดท้ายปี 2520 จึงไม่สามารถมาเทียบกับปัจจุบันได้ จากเดิมนั้นท้องถิ่นเป็นผู้ประเมิน แต่หลักการใหม่ทางราชการเป็นผู้ตรวจสอบทั้งหมด และเป็นธรรมดาที่เป็นเรื่องยากในการปฏิบัติตามกฎหมายใหม่ปีแรก ผู้ปฏิบัติ 7,500 กว่าองค์กรบริหารส่วนตำบลซึ่งก็มีปัญหาเกิดขึ้นบ้าง แต่ก็มีวิธีแก้ทั้งนั้น และตอนนี้กฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องยกเลิกไปหมดแล้ว และกฎหมายใหม่ก็รองรับไว้ทั้งหมด เหลือเพียงให้ท้องถิ่นสำรวจและประกาศแจ้งต่อเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พร้อมย้ำว่ากฎหมายฉบับนี้มุ่งหวังใช้ฐานภาษีจากมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเทียบกับการใช้ประโยชน์ โดยขยายเวลาการบังคับใช้กฎหมายถึงเดือนมีนาคม โดยเดือนพฤษภาคมท้องถิ่นจะประกาศราคาประเมิน และแจ้งที่เจ้าของที่ดินเดือนมิถุนายน ซึ่งเจ้าของที่ดินสามารถทักท้วงและฟ้องศาลได้ หากมีการประเมินเกินกว่าความเป็นจริง โดยระหว่างส่งฟ้องสามารถทุเลาได้
ส่วนที่ครหาว่าเป็นกฎหมายที่เอื้อนายทุนนั้น พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า หลักการกฎหมายต้องการให้ผู้มีรายได้น้อยไม่มีภาระทางภาษี โดยเฉพาะการยกเว้นที่ดินเกษตรกร 3 ปีแรก และเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำ ส่วนภาษีทีอยู่อาศัยเริ่มเก็บที่มูลค่า 50 ล้านบาทขึ้นไป เป็นหลักเกณฑ์ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. มีเจตนาเก็บภาษีคนรวย และยังมีกฎหมายอีกหลายตัวเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ยืนยันว่าไม่สามารถกลับไปใช้หลักเกณฑ์เดิมได้ ดังนั้น ต้องเร่งดำเนินการและจะเริ่มเก็บเดือนสิงหาคม โดยจะมีการปรับอัตราจัดเก็บใหม่อีกในปี 2565
ด้านนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงว่า กฎหมายลำดับรองรวมทั้งหมดมี 18 ฉบับ โดยกระทรวงการคลังรับผิดชอบ 7 ฉบับ ส่วนกระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบ 6 ฉบับ และรับผิดชอบร่วมกันอีก 5 ฉบับ และมีการจัดอบรมเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพื่อทำความเข้าใจก่อนประกาศราชกิจจานุเบกษา ซึ่งจะพร้อมจัดเก็บภาษีที่ดินตามระยะที่กำหนดไว้ ส่วนภาษีบางตัวที่เกิดความสับสนยุ่งยากในการจัดเก็บนั้น ยอมรับว่ากรณีที่ดินเกษตรกรรม บางรายมีที่ดินกลางเมืองแต่ทำการเกษตร ซึ่งกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยจะมีแนวทางพิจารณาการใช้ประโยชน์ที่ดิน หากเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่าเสียภาษีที่ดินไม่ถูกต้องก็จะมีเจ้าหน้าที่ประเมินให้ถูกต้องโดยเป็นหน้าที่กรมธนารักษ์จะเป็นผู้ประเมินราคาที่ดิน ท้องถิ่นจะนำราคาประเมินตั้งเป็นราคากลาง ซึ่งรวมไปถึงบ้าน คอนโดมิเนียม และอาคารเพื่อการพาณิชย์ด้วย พร้อมย้ำว่ากฎหมายฉบับนี้ทำให้เกิดความเป็นธรรมต่อประชาชนทั้งประเทศ โดยกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยจะลงไปตรวจสอบและทำความเข้าใจกับประชาชน
