ข่าวปนคน คนปนข่าว
** “มิตรยามยาก”สะกดเป็นมั้ย ? “จีน”จวกสหรัฐฯ ตัวอย่างไม่ดี ถอนนักการทูต-แบนผู้เดินทางจากจีน กระพือความตื่นกลัวไวรัสโคโรนา
เพิ่งเล่นงานจีนด้วย “สงครามการค้า”จนเศรษฐกิจจีนออกอาการร่อแร่ มาหยกๆ นึกไม่ถึงว่า เมื่อเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศที่อวดอ้างว่าเป็นมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลก จะแสดงความไร้น้ำใจ ฉวยโอกาสกระทืบซ้ำ ...
ทันทีที่มีการประกาศการระบาดของเชื้อชนิดนี้ที่เมืองอู่ฮั่น "สหรัฐอเมริกา" เป็นประเทศแรกๆ ที่เร่งอพยพนักการทูตและพลเมืองของตัวเองออกมา ซึ่งแน่นอนว่าย่อมจะสร้างความกดดันให้กับทางการจีน เพราะนอกจากต้องเร่งรีบรับมือกับการระบาดของเชื้อโรคแล้ว ยังต้องมาพะวงกับการจัดการให้ต่างชาตินำเครื่องบินเข้าไปรับคนของตัวเอง แทนที่จะให้ทางจีนพิจารณาตามความเหมาะสม ว่าจะให้ประเทศไหนเข้าไปรับคนของตัวเองตามเงื่อนไขความเร่งรีบ และจำเป็น
...มิหนำซ้ำ เมื่ออพยพคนของตัวเองออกมาแล้ว สหรัฐอเมริกาก็เป็นชาติแรกๆ ที่ประกาศ"สถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขแห่งชาติ" และห้ามชาวต่างชาติที่เคยไปเยือนจีน ในช่วง 14 วันก่อนหน้าเดินทางเข้าประเทศ ...
เมื่อวานที่ผ่านมา (3 ก.พ.) "หัว ชุนอิง" โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน จึงต้องออกมาแถลงตำหนิสหรัฐฯ ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่สหรัฐฯ ทำมีแต่สร้างและเผยแพร่ความกลัว ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ มีทั้งศักยภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกในการป้องกันโรคระบาดอย่างเต็มที่ กลับกลายเป็นผู้นำในการออกข้อจำกัดต่างๆ ที่เกินกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO)
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 ม.ค. WHOได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของประเทศทั้งหลายทั่วโลก "ยกระดับเฝ้าระวัง" การเตรียมความพร้อมรับมือ และมาตรการต่างๆ สำหรับควบคุมการแพร่ระบาด แต่ WHO ได้เน้นย้ำว่า “ไม่มีเหตุผล”ที่จะกำหนดข้อจำกัดด้านการเดินทาง หรือการค้ากับจีน ต่อการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อห้ามคนที่เคยเดินทางไปจีนเข้าประเทศเรียบร้อย "โดนัลด์ ทรัมป์" ก็ให้สัมภาษณ์ทีวีอย่างสบายใจ เมื่อวันที่ 2 ก.พ.ว่า ไม่กังวลเรื่องการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐอเมริกาแล้ว แม้จะยังมีการระบาดในจีน และอีก 20 กว่าประเทศทั่วโลก พร้อมอวดอ้างว่า “เราสกัดมันไว้อยู่หมัดแล้ว”
เรื่องความแสบของอเมริกันยังไม่หมด ย้อนไปก่อนหน้านั้น วันที่ 30 ม.ค. "วิลเบอร์ รอสส์" รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ บอกว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ที่โหมกระพือความกังวลด้านสาธารณสุขทั่วโลก อาจช่วยสร้างงานใหม่ในเศรษฐกิจอเมริกา “ผมคิดว่ามันจะช่วยเร่งให้
งานหวนคืนสู่อเมริกาเหนือ บางส่วนกลับมายังอเมริกา บางส่วนอาจไปเม็กซิโกเช่นกัน” ซึ่งแน่นอน การให้ทรรศนะแบบนี้ เรียกก้อนอิฐได้จากทั่วสารทิศตามระเบียบ
ย้อนกลับมาที่เมืองไทย ซึ่งในระดับรัฐต่อรัฐนั้น เหตุการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ทำให้ทางการจีนได้เห็นว่าใครกันแน่คือ “มิตรยามยาก”อย่างแท้จริง ไทยไม่ใช่ชาติแรกๆ ที่เร่งอพยพคนออกมาจากเมืองอู่ฮั่น ซึ่งก็ทำให้จีนไม่รู้สึกกดดัน แต่ก็มีการติดต่อสื่อสารกันตลอด ทั้งในระดับสถานทูตและสถานกงสุลไทยประจำประเทศจีนอย่างใกล้ชิด เพื่อสนับสนุน และร่วมกันดูแลชาวไทยในอู่ฮั่น และเมืองอื่นๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้สถานทูตจีน"แสดงความขอบคุณต่อประเทศไทย" เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมา
ในระดับประชาชน โดยภาพรวมคนไทยส่วนใหญ่ต่างส่งกำลังใจในรูปแบบต่างๆ ไปให้เจ้าหน้าที่ทางการจีนต่อสู้กับเชื้อไวรัสโคโรนาเพื่อให้หยุดการระบาดได้โดยเร็ว แต่ก็มีบางส่วนที่สร้างกระแสรังเกียจชาวจีน จนต้องมีการ ออกมาเตือนสติกันบ้าง ...“กรณ์ จาติกวณิช”ที่เพิ่งลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเตรียมตั้งพรรคใหม่ เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้โพสต์เฟซบุ๊ก แสดงความเห็นใจชาวจีน พร้อมเสนอแบบคิดบวกว่า เราต้องมีมาตรการที่เหมาะสมในการป้องกันคนไทย เราเป็นประเทศที่ต้อนรับคนจีนมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ดังนั้นการเตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์ที่ยังอาจจะเลวร้ายลงเป็นเรื่องจำเป็น “การเป็นมิตรยามยาก เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาล ลองนึกเขานึกเรา แล้วแสดงออกแบบที่เราคงอยากให้ผู้อื่นแสดงออกกับเราหากสถานการณ์กลับกัน”
กระนั้น ก็ยังมีนักการเมืองฝ่ายค้าน ที่เอาแต่จะเล่นการเมืองไม่หยุดหย่อน อย่าง"นายชุมสาย ศรียาภัย" รองโฆษกพรรคเพื่อไทย อ้างว่า ตั้งแต่รัฐบาล คสช. เรื่อยมาจนถึงรัฐบาลสืบทอดอำนาจ ในปัจจุบันของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาลดำเนินนโยบายเอื้อประโยชน์ให้สาธารณรัฐประชาชนจีนหลายกรณี และมีความสัมพันธ์แนบแน่นในหลายๆ มิติ แต่ในความพิเศษดังกล่าว ทำไมรัฐบาลไทยจึงไม่สามารถขอร้องต่อรัฐบาลจีนแบบพิเศษเพื่อเอาคนไทยในอู่ฮั่นกลับมาให้ได้สักที โดยรัฐบาลมีข้ออ้างสารพัดว่า ติดขัดเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่บอกว่าจะไปวันนั้นวันนี้ก็เลื่อน
นี่ก็เป็นการ”เล่นการเมืองเแบบไม่ฟังเหตุผล” ไม่ลืมหูลืมตาดูว่าการช่วยเหลือคนไทยนั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของรัฐบาลจีน อยู่เหนืออำนาจรัฐบาลไทย และในความเป็นจริงก็มีการประสานงานดูแลคนไทยในนครอู่ฮั่นอยู่ตลอด จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งรัดนำคนไทยออกมาให้ทางการจีนต้องรู้สึกถูกกดดันในสภาวะที่ต้องรับมือกับโรคระบาด คนที่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาโหนกระแสท่าเดียว จะเป็นการเล่นเกมการเมืองแบบเห็นแก่ได้เกินไปหรือเปล่า
สุดท้ายก็อยากจะให้ย้อนไปดูคำพูดของ "กรณ์ จาติกวณิช" ที่บอกว่า “มิตรยามยาก มีคุณค่ามหาศาล”เผื่อจะได้มีความเป็นมนุษย์ขึ้นมาบ้าง
** "ธนาธร" บอกไม่เบื่อขึ้นศาล หลังโดนอีก 5 ข้อหา พร้อมกับพวกอีก 7 คน ในคดี "แฟลชม็อบ"
ขณะที่สังคมข่าวสารและโซเชียลฯ กำลังให้ความสนใจอยู่กับ "ไวรัสโคโรนา" จนกลบกระแสข่าวอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นศึกซักฟอก หรือข่าวคราวความเคลื่อนไหวของ "พ่อฟ้า" ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่...
ล่าสุด"พ่อฟ้า" เป็นข่าวอีกครั้งโดยไม่ได้ตีปี๊บล่วงหน้า... เมื่อพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ได้สรุปสำนวนคดี "ชุมนุมแฟลชม็อบ" ที่สกายวอล์ก สี่แยกปทุมวัน เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.62 เสนออัยการ พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องในคดีร่วมกันชุมนุมโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ไปแล้ว
โดยผู้ต้องหามีทั้งสิ้น 8 คน ดังนี้ 1 . นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ 2.นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ 3. น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ 4.นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ 5. นายไพรัฎฐโชติก์ จันทรขจร อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ เขต 5 นครปฐม 6. นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือแพนกวิน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง 7. นายธนวัฒน์ วงค์ไชย แกนนำกลุ่มวิ่งไล่ลุง และ 8. น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือโบว์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง
เป็นคนของพรรคอนาคตใหม่โดยตรง 5 คน อีก 3 คน เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เป็นแนวร่วม
สำหรับข้อหา มีทั้งสิ้น 5 ข้อหา ประกอบด้วย 1. ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้ง 2. ร่วมกันจัดการชุมนุมสาธารณะโดยกีดขวางทางเข้าออกหรือรบกวนการปฏิบัติงาน หรือการใช้บริการสถานีรถไฟ 3. ร่วมกันจัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่ดูแลและรับผิดชอบการชุมนุมสาธารณะไม่ให้เกิดการขัดขวางเกินสมควรต่อประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ 4. ร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และ 5. ชุมนุมในรัศมีใกล้เขตพระราชฐาน 150 เมตร
แม้จะโดนไปอีก 5 ข้อหา แต่ "ธนาธร" บอกว่า จะยังคงเดินหน้าลงพื้นที่ พบปะกับประชาชนในลักษณะนี้เหมือนเดิม ถ้าถูกดำเนินคดีอีก ก็ "ไม่เบื่อที่จะขึ้นศาล" เพราะสิ่งที่ทำอยู่ เป็นเสรีภาพที่ทำได้ และเป็นการดำเนินการคู่ขนานกับการทำหน้าที่ของ ส.ส.ในสภาฯ
ส่วนแนวทางการต่อสู้คดีนั้น "พ่อฟ้า" ยืนยันว่า การชุมนุม "แฟลชม็อบ" เป็นแค่การพบปะประชาชนในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ใช่เป็นการชุมนุมทางการเมือง ที่ระดมคนมาปักหลักพักค้าง ก่อความรุนแรง สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ... ส่วนข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับกรณีนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่พบปะประชาชน ก็ถือไมโครโฟน พูดไปเรื่อย ไม่เห็นได้ขออนุญาต จะมาเลือกปฏิบัติได้ไง...
คดีนี้ อัยการจะสั่งฟ้อง สั่งไม่ฟ้อง หรือ มีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนไปสอบเพิ่มเติมในประด็นที่ยังสงสัย...จะออกช่องไหน รู้กันในวันที่ 7 ก.พ.นี้
เห็นคดีของ"ธนาธร" และพลพรรคอนาคตใหม่ ที่ส่อแววว่าจะเพิ่มมาอีกคดี ก็ทำให้คิดถึงคำพูดของ "ปิยบุตร แสงกนกกุล" ในช่วงที่ "4 ส.ส.งูเห่า" ไปทวงถามหนังสือขับออกจากพรรค และหนังสือแจ้งมติการขับออกจากพรรคไปยังนายทะเบียนพรรคการเมือง ที่สำนักงาน กกต. แต่ "ปิยบุตร" บอกว่าที่ยังไม่แจ้งไป เพราะไม่แน่ใจว่าองค์ประชุมในวันนั้น ถูกต้อง ครบถ้วนหรือเปล่า ต้องขอเวลาไปตรวจสอบก่อน...
"ตอนนี้กำลังตามเรื่องให้อยู่ทุกวัน พรรคเรามีหลายเรื่องมาก ถ้าลดจำนวนคดีให้เราน้อยๆหน่อย จะได้มีเวลาไปทำเรื่องพวกนี้ให้ ตอนนี้เราต้องแก้คดีทุกวัน เต็มไปหมด"
จะว่าไปแล้วคดีของบรรดาแกนนำพรรคอนาคตใหม่นั้น ล้วนแต่เป็นการก่อขึ้นเองทั้งนั้น เป็นการก่อคดีในลักษณะ "ท้าทายกฎหมาย" รู้ทั้งรู้ว่าเข้าข่ายความผิด แต่ยังทำ เมื่อถูกดำเนินคดีก็โวยวายว่าถูกอำนาจรัฐกลั่นแกล้ง ... กรณี "แฟลชม็อบ" นี้ก็เช่นกัน !!