ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ชาวเน็ตแห่ชื่นชม "ดร.สุภาภรณ์ วัชรพฤษาดี" นักเทคนิคการแพทย์ของไทย ผู้ตรวจพบถอดรหัส "โคโรนาสายพันธุ์ใหม่" ตอกย้ำคนไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก รับมือวิกฤตไวรัสอู่ฮั่น ต้องมีสติ
จากโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่เริ่มต้นในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งว่ากันว่าเป็นเมืองชิคาโกแห่งจีน แพร่ระบาดอย่างกว้างขวางไปทั่วประเทศจีน จนล่าสุด "สี จิ้นผิง" ประธานาธิบดี ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระดับสูงสุด เพื่อยับยั้งการระบาดของเชื้อที่น่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ
คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (NHC)เปิดเผยข้อมูลนับถึง วันเสาร์ที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่าจำนวนผู้ป่วยภายในประเทศอยู่ที่ 1,975 ราย โดยเป็นผู้ป่วยขั้นวิกฤต 324 ราย ผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 56 ราย และผู้ป่วยสงสัย 2,684 ราย
ขณะที่มีผู้ป่วยในประเทศไทย และติดเชื้อโรคดังกล่าวรวมทั้งสิ้น 8 ราย กลับบ้านแล้ว5ราย พักรักษาตัว 3ราย
ท่ามกลางวิกฤตนี้มีรายงานข่าวแจ้งว่า ในโลกโซเชียลฯ ต่างเผยแพร่เรื่องราวชื่นชมจากผู้ใช้ ทวิตเตอร์ @ mooomeemha ที่ระบุ "ไทยไขปริศนา #ไวรัสโคโรนา เจอเชื้อก่อนจีนเปิดเผยรหัส 2 วัน คนที่พบไม่ใช่หมอ พยาบาล หรือ เภสัช เป็น " นักเทคนิคการแพทย์ "ดร. สุภาภรณ์ วัชรพฤษาดี" รองหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ การตรวจมุ่งไปที่ 2 ตระกูล คือ โคโรนา และ influenza เนื่องจากช่วงเวลานั้นจีนยังไม่เปิดเผย"
ขณะที่ผู้ใช้ทวิตเตอร์ @ NARUTOm1 ระบุว่า "ช่วง อวยอาจารย์ โฉมหน้านักเทคนิคการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคอุบัติใหม่ ผู้ตรวจพบ และ "ยืนยัน" เชื้อโคโรนาสายพันธุ์ ที่กำลังระบาดในขณะนี้ และส่งข้อมูลพันธุกรรมของเชื้อลงในระบบข้อมูลพันธุกรรมชีวภาพสากล และพบว่าตรงกัน 100% กับสายพันธุ์ที่ระบาดในจีน #ไวรัสโคโรนา"
หลังจากที่เรื่องราวดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ต่างมีชาวเน็ตเข้ามารีทวีต จำนวนมาก พร้อมทั้งชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ไทย ที่มีความสามารถไม่แพ้ชาติใดในโลกจริงๆ
สำหรับ "ดร.สุภาภรณ์ วัชรพฤษาดี" ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โดยในงานเสวนาวิชาการ DISEASE X : ปฐมบทไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 "ดร.สุภาภรณ์" ได้ให้ความรู้ไว้ว่า...
"10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยตรวจพบไวรัสใหม่ 458 ตัว ส่วนใหญ่เป็นโคโรนาไวรัส ความหลากหลายของโคโรนาไวรัส มีความซับซ้อนสูง ทำให้เกิดโรคอุบัติใหม่ได้ง่าย การตรวจหาโคโรนาตัวใหม่ ใช้หลักการเดียวกับการตรวจหาโรคเมอร์ส โดยการตรวจไวรัส ที่รู้จักมาก่อน (Known Virus)33 ชนิด ที่ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ และตรวจเชื้อไวรัส 2 ตระกูล คือ โคโรนาไวรัส และอินฟลูเอ็นซา เมื่อถอดรหัสพันธุกรรมสำเร็จ พบว่าเหมือนกับ "Bat SARS-like Coronavirus"ประมาณ 82-90% หลังจากนั้น จึงนำไปเปรียบเทียบกับเชื้อที่ตรวจพบที่อู่ฮั่น ซึ่งพบว่าตรงกัน 100 %
"ดร.สุภาภรณ์" ยังได้รับคัดเลือกเป็นบุคลากรสภากาชาดไทยดีเด่น ระดับหน่วยงาน กลุ่มงานเจ้าหน้าที่ ระดับ 5-8 ได้รับเกียรติบัตรเชิดชูเกียรติ ในงานประกาศผลบุคลากรดีเด่น ระดับสภากาชาดไทย ประจำปี 2562
ต้องบอกว่า เวลานี้ความตื่นตัวต่อกรณีการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของหมู่คนไทยมีสูง แต่ในโลกโซเชียลฯ ก็เต็มไปด้วยเฟกนิวส์ ที่น่ากลัวมากกว่าไวรัส
สถานการณ์แบบนี้คงต้องให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
แน่นอนว่า ในมุมของประชาชนคนทั่วไปย่อมต้องมองไปที่ รัฐบาล ซึ่ง "หมอหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) บอกล่าสุด ว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามเต็มที่ ในการควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งในทางปฏิบัติถือว่า ยังควบคุมสถานการณ์ได้ แม้จะพบผู้ป่วยที่ติดเชื้อ แต่สามารถรักษาให้หาย หลายรายกลับภูมิลำเนาแล้ว และผู้ป่วยยืนยันทุกรายที่พบเจอ ก็ติดเชื้อมาจากต้นทาง คือเมืองอู่ฮั่น
แต่เพราะขณะนี้ประชาชนรับรู้เพิ่มมากขึ้น การเสนอข่าวจากหลายทิศทาง อาจทำให้เกิดความสับสนและโกลาหลมากขึ้น
ฟังว่า ตอนนี้ การเฝ้าระวังถูกยกให้เป็นเรื่องระดับชาติ ซึ่งเตรียมจัดทำมาตรการเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ตั้งคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อบริหารจัดการ และอาจจะต้องยกระดับเป็นสถานการณ์ที่รัฐบาลต้องช่วยกัน และมีอำนาจพิเศษในการบริหารสถานการณ์
ต้องติดตามกันต่อไปว่า สถานการณ์จะพัฒนาไปแค่ไหน เรื่องนี้ต้องยอมรับว่า เป็นเรื่องอ่อนไหวทางอารมณ์ และความรู้สึกเชื่อมั่นด้วย
ดังจะเห็นว่า ในโลกโซเชียลฯ ก็ถกเถียงกันในประเด็นของมาตรการ "ปิดประเทศ" ห้ามคนจีนเข้าไทยไปเลย เพราะรู้กันว่า ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจีน เดินทางเข้าจำนวนมาก
"หมอหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ยืนยันว่า อาจเป็นการตัดสินใจที่รวดเร็วเกินไป และสถานการณ์ยังไม่ถึงจุดนั้น
ขณะที่ฮ่องกง ไต้หวัน มีมาตรการหยุดเรียน ห้ามคนเข้าประเทศจีน แต่ละประเทศมีเงื่อนไข และวิธีการรับมือกับสถานการณ์แตกต่างกันไป สำหรับไทย มีประสบการณ์ในการรับมือความเป็นไปได้ในการระบาดของโรคแบบข้ามประเทศมาหลายครั้ง และทำได้เป็นอย่างดี
"ขอให้มั่นใจ เราตัดสินใจบางครั้งรุก เราก็รุกเต็มที่ ถ้าบางครั้งต้องรับ ก็ต้องรับอย่างมีสติ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชน และระบบเศรษฐกิจต่างๆ ที่กำลังไปได้ด้วยดี" อนุทิน กล่าว
งานนี้ก็ต้องติดตามสถานการณ์กันอย่างใกล้ชิดต่อไป .
** ปิดตำนาน "ปู่ชัย ชิดชอบ" ในวัย 92 ปี จาก"นายฮ้อยเมืองสุรินทร์" สู่เจ้าของโรงโม่หิน จนขึ้นถึงตำแหน่งสูงสุดในชีวิต "ประธานรัฐสภา" ผู้ใช้ประสบการณ์ควบคุมการประชุมสภาฯ จนเป็นที่ยอมรับ สมควรแก่การจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ขอแสดงความอาลัย และเสียใจอย่างสุดซึ้ง ถึง"ครอบครัวชิดชอบ" ต่อการสูญเสีย "ปู่ชัย ชิดชอบ" อดีตประธานรัฐสภา ที่ถึงแก่อนิจกรรมอย่างสงบ ที่บ้านพัก จ.บุรีรัมย์ ในวัย 92 ปี เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ที่ผ่านมา ...
“ปู่ชัย”หรือ “พ่อชัย”ถือเป็น “ปูชนียบุคคล”ที่ต้องจารึกไว้เป็นตำนาน โดยเฉพาะด้านการเมือง ที่“อดีตนายฮ้อย”จากเมืองช้าง จ.สุรินทร์ คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการเมืองมามากกว่า 60 ปี จนขึ้นถึงตำแหน่งสูงสุดในชีวิต ประมุขแห่งฝ่ายนิติบัญญัติ "ประธานรัฐสภา" มาแล้ว ...
จากบ้านเกิดเมืองนอนที่ จ.สุรินทร์ ยึดอาชีพ “นายฮ้อย” คล้องช้าง จากประเทศเพื่อนบ้าน มาเลี้ยงบ้าง ขายบ้าง ก่อนขยับขยายมาทำโรงโม่หิน ที่ จ.บุรีรัมย์ พร้อมตั้งรกรากถาวร อยู่ที่ “โรงโม่หินศิลาชัย” มาตั้งแต่ตอนนั้น .. และมรสุมทางธุรกิจที่ถูกอำนาจรัฐกลั่นแกล้ง รังแก ทำให้เริ่มคิดหันเหชีวิตเข้าสู่ถนนการเมือง ไต่เต้าตั้งแต่ ผู้ใหญ่บ้าน-กำนัน แห่งต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ มาเป็นสมาชิกสภาจังหวัด (ส.จ.) กระทั่งได้เป็นประธานสภาจังหวัด ... และโดดลงการเมืองระดับประเทศหนแรก ในการเลือกตั้งปี 2512 รุ่นเดียวกับ "ชวน หลีกภัย - พิชัย รัตตกุล - อุทัย พิมพ์ใจชน" เป็นอาทิ
ในครั้งนั้น “ปู่ชัย”ลงสมัครในนามอิสระ และได้รับเลือกเป็น“ผู้แทนราษฎร”ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นับถึงสมัยล่าสุด 24 มี.ค.62 ที่ “ปู่ชัย” ได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 2 ของพรรคภูมิใจไทย สิริรวมเป็นส.ส. 10 สมัยพอดิบพอดี ...
อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น จุดสูงสุดในชีวิตนักการเมืองของ“ปู่ชัย”คือเมื่อครั้งที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งเป็น “ประธานสภาผู้แทนราษฎร”และ “ประธานรัฐสภา”เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2551 จนถึง 10 พฤษภาคม 2554 ... สร้างชื่อเสียง ด้วยการทำหน้าที่อย่างผู้มากประสบการณ์ มีลูกล่อลูกชน มีอารมณ์ขัน ทำให้บรรยากาศการประชุมสภาฯ ในช่วงที่การเมืองร้อนระอุ คลี่คลายผ่อนอุณหภูมิลงได้มาก ...
และแม้ผ่านมาแล้ว 10 ปี การทำหน้าที่ควบคุมการประชุมของ “ปู่ชัย”ก็ยังคงเส้นคงวา แม้จะอยู่ในช่วงโรยรา ก็ยังทำหน้าที่ประธานชั่วคราว ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุด... ดำเนินการโหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ ที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความขัดแย้งรุนแรง แต่ด้วย “ลูกเก๋า” ของผู้เป็นประธานฯ ก็ทำให้การประชุมผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ก่อนที่“นายหัวชวน”จะได้รับตำแหน่งดังกล่าวได้ ...
นั่นคือผลงานครั้งท้ายๆ ของ “ปู่ชัย”ในฐานะ “ผู้แทนราษฎร”
จากนั้น ถึงแม้จะมีปัญหาด้านสุขภาพ ก็ยังเพียรมาร่วมประชุมสภาฯ อย่างสม่ำเสมอ... เริ่มห่างหาย “สภาหินอ่อน”ก็ในวันที่สังขารไม่เอื้ออำนวยจริงๆ จนนักการเมืองน้อยใหญ่ ผู้สื่อข่าวมักไถ่ถามถึงบ่อยๆ กระทั่งมาทราบข่าวการจากไปไม่มีวันกลับของ “ปู่ชัย-พ่อชัย” .. ปิดตำนานของ "นายฮ้อยเมืองสุรินทร์" ที่ไปไกลได้ถึง “ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ” รวมทั้งยังมีบทบาทสำคัญในทางการเมืองไทยมานานมากกว่า 60 ปี.