ข่าวปนคน คนปนข่าว
**จัดหนักไปเลย! ไหนๆ ทำก็โดน ไม่ทำก็โดน "ลุงตู่" อย่ามัวบ่น คนตระหนักรู้แล้ว ถึงเวลา "ยาแรง" แก้ฝุ่นพิษ pm 2.5
ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 เกินมาตรฐาน จนกรุงเทพฯกลายเป็นเมืองมลพิษติดอันดับต้นๆ ของโลกเวลานี้เป็นความเลวร้ายมหันตภัยเงียบ ทำลายสุขภาพที่ดูเหมือนจะเป็นภาวะที่สังคมทำอะไรไม่ได้กับสภาพที่เป็นอยู่
ฟังว่า รัฐบาลกำลังจะเสนอ 12 มาตรการ อาทิ ขยายเขตพื้นที่จำกัดรถบรรทุกเข้ากรุงเทพฯ จากวงแหวนรัชดาภิเษก เป็นวงแหวนกาญจนาภิเษก...ตรวจสอบโรงงานที่ทำให้เกิดฝุ่นละอองหากไม่เป็นไปตามมาตรฐานให้สั่งปรับปรุงแก้ไขภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือ สั่งหยุดการประกอบกิจการ ... กำกับให้กิจกรรมการก่อสร้างรถไฟฟ้าและก่อสร้างอื่นๆ เป็นไปตามข้อกำหนด ไม่ทำให้เกิดฝุ่นและปัญหาการจราจร บริเวณรอบพื้นที่ก่อสร้าง ...ไม่ให้มีการเผาในที่โล่งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้ที่กระทำการเผา เป็นต้น โดยจะนำเข้าครม.วันนี้( 21ม.ค.)
ว่าไปแล้ว เรื่องสถานการณ์ฝุ่นพิษที่ทวีความรุนแรง ประชาชนทั่วไปต่างรับรู้และเข้าใจ แต่ก็ยังกังวล และอยากเห็นวิธีแก้ปัญหาของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรม
"ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึง ปัญหาฝุ่น pm 2.5 ว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเรียนรู้ ต้องปรับตัวเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
พอพูดถึงปัญหา pm 2.5 พล.อ.ประยุทธ์ ดูจะหงุดหงิดกับคำถามว่า จะให้แก้อย่างไร ? เพราะว่า พูดแล้วพูดอีก คนฟังไม่อยากฟัง เพราะน่าเบื่อ...
"ลุงตู่" ยังตกเป็นกระแสโจมตีทำนองบอกให้ "คนแพ้ฝุ่น ก็ต้องดูแลตัวเอง" ว่าวันนี้ถ้าค่า pm 2.5 เกิน 50 ต้องสวมหน้ากากอนามัย ข้าราชการต้องชี้แจงให้ทุกคนเข้าใจ ทารก คนมีครรภ์ คนชรา คนป่วย พวกแข็งแรงไม่เป็นไร ยังพอสู้ได้ แต่ถ้าค่าเกิน 100-200 ก็เป็นเรื่อง...
สิ่งที่ทำให้ค่า pm 2.5 สูงที่สุด เกิดจากการจราจร 72.5% รถทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นรถใครก็ทำให้เกิด pm 2.5 ทั้งสิ้น สาเหตุมาจากการเผาไหม้ไม่หมด รถยนต์เก่า รถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงที่สันดาปไม่หมด โดยเฉพาะกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ รองลงมาเกิดจากการเผาหญ้า วัชพืชในที่โล่งแจ้ง ประมาณ 12.5% โรงงานอุตสาหกรรม 5-7% ทั้งนี้โรงงานไหนปล่อยค่าฝุ่น มลพิษเกินก็ต้องสั่งปิดเพื่อให้ปรับปรุง ที่เหลือคืออื่นๆ อีก 5% สิ่งสำคัญที่สุด คือทำอย่างไรให้เรื่องการจราจรดีขึ้น เราจะห้ามรถวิ่งทั้งหมด ก็ไม่ได้ จะทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้ารัฐบาลห้ามทั้งหมดก็จะมีปัญหาทั้งหมด เพราะมีคนเดือดร้อน บางคนก็เคยทำด้วยภูมิปัญญาเก่า เช่น การเผา เราก็ต้องค่อยๆ ปรับ อย่างเรื่องอ้อย ก็ชอบไปซื้ออ้อยที่ถูกเผามา เพราะ
สะดวกที่จะเข้าโรงงานได้เร็ว ซึ่งอนาคตข้างหน้าคงทำไม่ได้แล้ว จะต้องมีการออกกฎหมาย ซึ่งก็อยู่ที่ว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายกันหรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์ บ่นว่า พอใช้กฎหมายเข้ม รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ก็โดนด่า "ใช้ก็โดน ไม่ใช้ก็โดน"
ขณะที่ "ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์" ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) พูดถึงเรื่องนี้ว่า ภาพรวมของ 12 มาตรการที่จะเสนอนั้น มองว่าเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น เพื่อให้พ้นไปก่อน แต่ไม่มีการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง หรือต้นตอของฝุ่น PM 2.5
อยากถามว่า 1 ปีที่ผ่านมา ทำอะไรกันบ้าง เพราะขณะนี้การแก้ปัญหาก็เหมือนไฟไหม้ฟาง ทั้งที่ต้นตอคือ เรื่องของเชิงโครงสร้างที่ต้องแก้ปัญหา และเรื่องของการขาดการมีส่วนร่วม ซึ่งไม่อยากให้เป็นวงจรแบบเดิมๆคือ เมื่อเกิดปัญหาก็มาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า รอให้พ้นปัญหาฝุ่นไป แล้ว ก็ไปเล่นเรื่องอื่นต่อ แล้วพอปัญหาฝุ่นกลับมาอีก ก็วนเวียนอยู่แบบนี้ไม่รู้จบ กี่สิบปีก็จะเหมือนเดิม...
ตอนนี้วิกฤตเป็นโอกาสแล้ว เพราะคนตระหนักรู้ มีเหตุผลในการที่จะออก "ยาแรง" มีโอกาสที่จะคว้านลึกถึงต้นตอ แต่มาตรการต่างๆที่จะเข้าครม. ดูเหมือนแค่แตะผิวๆ เพื่อให้ผ่านไป เหมือนกับมีโอกาสที่จะทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ แต่กลับกวาดขยะ และเศษๆ มาซุกใต้พรมต่อ
การจะออกมาตรการอะไรสักอย่างมักมีแรงต้านอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ทุกคนตระหนัก ก็มีเหตุผลมีความชอบธรรมที่จะดำเนินการ
ศ.ดร.ศิวัช ยังบอกว่า จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายมาตรการที่สามารถทำได้ และเป็นโอกาสที่ควรทำ เพื่อช่วยลดค่าฝุ่นละออง อย่างที่เคยเสนอไปเมื่อปีที่แล้ว อย่างการลดการใช้รถไปเรียนไปทำงาน ด้วยการทำงานที่บ้าน (Work From Home)หรือการเรียนกลับหัว (Flip Learning)เพื่อช่วยลดการใช้รถ และการเดินทาง อย่างเรื่องการเรียน ก็อาจเป็นการเรียนผ่านคลิป หรือช่องทางต่างๆ ที่จะสามารถฟังอาจารย์สอนได้ขณะอยู่ที่บ้าน และนัดวันเวลามามหาวิทยาลัยแค่บางช่วง เพื่อสอบถามสิ่งที่ไม่เข้าใจ หรืออย่างนักเรียน ก็อาจลดเวลาเรียนลง และเน้นให้ทำการบ้าน ให้เด็กได้ไปคิดไปทำมากขึ้น อย่างการไปช่วยกิจการงานของพ่อ แม่ ซึ่งพบว่าเด็กที่ไปช่วยงานพ่อแม่ตนเอง จะฉลาดกว่าวัยเดียวกัน และได้เรียนรู้จากการทำงานจริง ส่วนการทำงานที่บ้าน ก็ต้องเปลี่ยนแนวคิด เพราะทุกวันนี้ส่วนใหญ่จะติดกับภาพว่า จะต้องเห็นลูกน้องมาทำงานออฟฟิศ ก็ต้องปรับเปลี่ยนเรื่องนี้ และหาแนวทางในการทำงานที่บ้านเพิ่มขึ้น ซึ่งก็อาจจะเปิดช่องว่า หากทำงานที่บ้าน อาจจะขอรับเงินเดือนลดลง 10-15%
แน่นอนว่า เราไม่เห็น มาตรการแบบนี้ก็ยังไม่เห็นใน 12 ข้อที่เสนอเลย
เอาเป็นว่า ปัญหาต้องซีเรียสขั้นสุด "ลุงตู่"อย่ามัวแต่บ่น ไหนๆ ก็ด่าเรื่อง PM 2.5 กันทั้งบ้านทั้งเมือง ก็ใช้จังหวะนี้ จัดการทางกฎหมายให้เต็มที่ ... ประชาชนกำลังรอความหวัง อย่าให้พวกเขาวิจารณ์ สมัยเป็น คสช. ยังกล้าใช้ ม.44 แต่พอเป็นรัฐบาลเลือกตั้งกลับกลัว และห่วงแต่คนจะว่าแล้วคะแนนตก
จัดหนักไปเลยลุง !
** ลุ้นระทึก!! พฤติกรรมของ "ธนาธร-ปิยบุตร" ตลอดจนโลโก้พรรค จะทำให้ "อนาคตใหม่" ตายยกรัง หรือไม่ รู้ผลในวันนี้
เวลา11.30น. วันนี้ (21 ม.ค.63) ศาลรัฐธรรมนูญ จะออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำวินิจฉัยในคดีที่ "ณฐพร โตประยูร" ยื่นคำร้องขอให้ศาลฯ วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การกระทำของพรรคอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรค เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือไม่
คดีนี้ "ณฐพร" ไปยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลฯ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.62 เป็นการไปยื่นอย่างเงียบๆ จึงไม่ปรากฏเป็นข่าวในช่วงแรก ต่อมาได้มอบฉันทะให้ "ว่าที่ร.ต.หญิง ปรารถนา บุตรน้ำเพชร" ไปยื่นคำร้องเพิ่มเติมศาลฯ เมื่อ18 มิ.ย.62
ต่อมา19 ก.ค.62 ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 5 ต่อ 4 เสียง ให้รับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัย จากนั้นส่งหนังสือให้พรรคอนาคตใหม่ ยื่นคำชี้แจงข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน เรื่องนี้จึงเริ่มเข้ามาอยู่ในความสนใจของสังคม
เมื่อพรรคอนาคตใหม่ ยื่นเอกสาร หลักฐาน พร้อมคำชี้แจงโต้ข้อกล่าวหาแล้ว ได้ขอให้ศาลฯ เปิดการไต่สวนพยานบุคคลด้วย หวังยืดเวลาออกไปให้นานที่สุด... แต่ศาลฯ มีหนังสือแจ้งกลับไป เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.62 ไม่รับคำร้องให้ไต่สวนพยานเพิ่มเติม เนื่องจากคดีมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้แล้ว จากนั้นก็นัดพิจารณาวินิจฉัย ในวันที่ 21 ม.ค. 63 ... ทำให้ทั้ง ธนาธร และปิยบุตร ต่างออกมาให้ข่าวว่า เป็นการรวบรัดการพิจารณา
คราวนี้มาดูคำร้องที่ "ณฐพร" ระบุพฤติการณ์ ของพรรคอนาคตใหม่กับพวก ว่ามีอะไรบ้าง ที่มองว่าเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง... เริ่มจาก ข้อบังคับพรรคอนาคตใหม่ ไม่มีถ้อยคำที่ปรากฏถึงการยอมรับว่า ประเทศไทยต้องมี "การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" แต่กลับใช้คำว่า "หลักประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ" แทน... การที่ปรากฏข่าวว่า "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" เป็นนายทุนเว็บไซต์และนิตยสาร "ฟ้าเดียวกัน" ที่เนื้อหาเน้นไปในทางลดความน่าเชื่อถือสถาบันพระมหากษัตริย์ ...กรณี"ธนาธร" พูดเชิญชวนคนไทยมาร่วมกันทำการสานต่อภารกิจ เมื่อพ.ศ. 2475 เนื่องจาก 86 ปีแล้วยังทำไม่สำเร็จ... "ธนาธร" ประกาศว่าหากได้เป็นนายกรัฐมนตรี พระมหากษัตริย์ไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง... จะยกเลิกให้หมดทุกอย่างที่เป็นรัฐบาลทหาร และยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 ..."ธนาธร" ชูแนวคิดเลิกกราบไหว้ เคารพครู อาจารย์ ตามประเพณี เลิกการยิ้มสยาม ที่มองว่ายิ้มอย่างไม่มีจุดยืน ไม่มีเหตุผล ...ล้มเลิกการอุปถัมภ์ทุกศาสนาในประเทศไทย ...
ยังมีกรณี "ปิยบุตร" แสดงทัศนคติ ขณะที่ยังเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยว่า สถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นอยู่ปัจจุบัน มีอำนาจเกินควรจะเป็นในระบอบประชาธิปไตย สถาบันพระมหากษัตริย์ จำเป็นต้องปรับตัวให้อยู่ได้กับประชาธิปไตย โดยแยกการใช้อำนาจจากรัฐ ให้เป็นหน่วยงานทางการเมืองหน่วยหนึ่ง ซึ่งทำให้พระมหากษัตริย์ ไม่สามารถใช้อำนาจใดๆผ่านรัฐได้อีกต่อไป ซึ่งในทางรูปธรรม หมายถึง การไม่อนุญาตให้พระมหากษัตริย์สามารถทำอะไรเองได้... การแถลงนโยบายของพรรคอนาคตใหม่ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 61 ที่ประกาศจะลงนามสัตยาบันธรรมนูญกรุงโรม ว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งมีเนื้อหาประมุขของรัฐไม่ได้รับการยกเว้นจากการรับผิดทางอาญา...
นอกจากนี้ "โลโก้พรรค" ที่เป็นสัญลักษณ์สามเหลี่ยมด้านเท่าหัวกลับ คล้ายกับสัญลักษณ์ "สมาคมอิลลูมิเนติ" ที่อยู่เบื้องหลังการล้มล้างการปกครองระบอบกษัตริย์หลายประเทศในยุโรป ก็ถูกบรรจุอยู่ในคำร้องด้วย ... จนทำให้มีการเรียกขานคดีนี้ว่าคดี "อิลลูมิเนติ"
สำหรับ "โทษ" ที่ "ณฐพร" ร้องต่อศาลฯ หากศาลฯพิจารณาเห็นว่าเป็นความผิดนั้น มี 2 กรณี คือ "ให้หยุดการกระทำนั้นเสีย" หรือให้สั่ง"ยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรค"...
ดังนั้นต้องมาติดตามกันว่า วันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งให้... "ยก" หรือ "หยุด" หรือ "ยุบ" !!
หากศาลฯสั่งให้ "ยกคำร้อง" ก็แสดงว่าพรรคอนาคตใหม่ รอดพ้นจากข้อหานี้ ...หากสั่งให้ "หยุดการกระทำนั้นเสีย" ก็แสดงว่า พรรคอนาคตใหม่ มีการกระทำเข้าข่ายที่ "ณฐพร" ร้องมา ซึ่งหลังจากนี้อาจจะมีผู้นำไปขยายผล ยื่นคำร้องในประเด็นนี้ ต่อองค์กรอื่น ซึ่งอาจจะเป็นการร้องต่อกกต. ก็เป็นได้
แต่ถ้าศาลฯสั่งให้ "ยุบพรรค" และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรค ...ซึ่งโทษเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งนั้น กฎหมายไม่ได้ระบุว่าเป็นกี่ปี ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ...แต่ถ้าเทียบเคียงกับกรณียุบพรรค "ไทยรักษาชาติ" ก่อนหน้านี้ ที่เป็นคดีความผิดคล้ายคลึงกัน ก็จะเจอกันคนละ10ปี !!
ถ้าออกช่องทางนี้ ก็เป็นอันว่า "ตายยกรัง" !!