“วัฒนา อัศวเหม” ยังดิ้นใช้สิทธิตาม รธน.ม.213 ขอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการพิจารณา-คำพิพากษาศาลฎีกาฯ ที่สั่งจำคุก 10 ปี ในคดีทุจริตซื้อที่ดินบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน เป็นไปโดยมิชอบ แต่ศาล รธน.ตีตก ชี้ศาลฎีกาฯ พิจารณาคดีถึงที่สุดแล้ว รับไว้พิจารณาไม่ได้
วันนี้ (2 ม.ค.) เว็บไซต์สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องที่นายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (รมช.มท.) จำเลยหลบหนีในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินโครงการบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการพิจารณาพิพากษาคดีอาญาขององค์คณะผู้พิพากษาและคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีหมายเลขดำที่ อม.2/2550 และหมายเลขแดงที่ อม.2/2551 ที่ระบุว่านายวัฒนาซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่ง รมช. มท. ใช้อำนาจในตำแหน่งกระทำการข่มขืนใจ หรือจูงใจให้เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง เจ้าพนักงานที่ดิน จ.สมุทรปราการ สาขาบางพลี ออกโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่ตนเอง ในนามของบริษัท ปาล์มบีช ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด โดยมิชอบ และพิพากษาให้มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ลงโทษจำคุก 10 ปี ริบพระเครื่องผงสุพรรณเลี่ยมทอง 1 องค์ เป็นการพิจารณาพิพากษาคดีที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 185 มาตรา 197 และขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 5 วรรคหนึ่ง มาตรา 188 วรรค 2
โดยศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องเป็นการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยการพิจารณาคดีและคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วจึงเป็นกรณีที่ศาลอื่นมีคำพิพากษาถึงที่สุดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 47 (4) ซึ่งมาตรา 46 วรรค 3 บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัย นายวัฒนาจึงไม่อาจยื่นคำร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ได้