เมืองไทย 360 องศา
แน่นอนว่าในปีหน้า ปี 2563 ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ที่หลายฝ่ายคาดกันว่าจะต้องมีความเข้มข้นมากกว่าปีนี้ โดยเฉพาะในเรื่องการเมืองที่มั่นใจวาจะต้องขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดมากกว่าเดิม
สิ่งที่ทำให้เกิดการคาดหมายในลักษณะดังกล่าวมาจากปัจจัยหลักๆไม่กี่อย่าง เช่น ภาวการณ์ที่รัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในภาวะ “เสียงปริ่มน้ำ” นั่นคือ มีเสียงมากกว่าฝ่ายค้านเพียงไม่กี่เสียงเท่านั้น เรียกว่าเมื่อใดก็ตามที่ต้องโหวตในเรื่องสำคัญเป็นต้องลุ้นกันเหงื่อตกแทบทุกครั้งไป และด้วยลักษณะเสียงที่ก้ำกึ่งดังกล่าวก็มีให้เห็นแล้วว่าฝ่ายรัฐบาลต้องพ่ายแพ้โหวตฝ่ายค้านเมื่อครั้งที่มีการโหวตญัตติศึกษาผลกระทบจากมาตรา 44 และคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)และกลายเป็นเหตุให้สภาล่มถึงสองครั้งมาแล้ว
ขณะเดียวกันในสภาพดังกล่าวมันก็ยังมีความโชคดีของฝ่ายรัฐบาลก็คือฝ่ายค้านที่ถูกองว่า “ไม่มีประสิทธิภาพ” เมื่อเทียบกับยุคที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะด้วยกติกาใหม่ทำให้เกิดมี ส.ส.หน้าใหม่ พรรคการเมืองใหม่ๆมากมาย และมีความคิดและพฤติกรรมแปลกๆเข้ามาในสภาจำนวนมาก ส.ส.พวกนี้มาพร้อมกับทัศนคติที่บางครั้งถูกมองว่า “หลุดโลก” ที่สังคมไม่เคยพบเห็นมาก่อน จนทำให้เกิดภาพแปลกๆในสภาเกิดขึ้นเป็นประจำ ซึ่งก็ทำให้ภาพลักษณ์ของทั้งสภาและ ส.ส.ไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับชาวบ้านอย่างที่คาดหวังเอาไว้
ประกอบกับพรรคฝ่ายค้านหลักอย่างพรรคเพื่อไทยที่มีสภาพไม่ต่างจาก “พิการ” เนื่องจากบรรดาแกนนำพรรคคนสำคัญล้วนไม่ได้เป็น ส.ส.อดเข้าสภากันเรียบวุธ มันก็ยิ่งทำให้บทบาทการนำในสภาถดถอยลงไป และ เมื่อหัวหน้าพรรคในปัจจุบันคือ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ที่ต้องเป็น “ผู้นำฝ่ายค้านฯ” แต่เมื่อพิจารณาจากแบ็กราวด์ทางการเมืองก็แทบจะไม่เคยอภิปรายในสภาเลยทำให้บทบาทหลักมาตกอยู่ที่พวก “มวยรอง” ระดับเกรดสองเกรดสาม มันก็ยิ่งทำให้ “ลำหักลำโค่น” ไม่มี
กลายเป็นว่าบทบาทนำมาตกอยู่ที่พรรคอนาคตใหม่เป็นส่วนใหญ่ แต่ขณะเดียวกันหากพิจารณากันตามสภาพความเป็นจริงมันก็สามารถเรียกเสียงฮือฮาในช่วงแรกๆเท่านั้น ไม่สามารถรักษาระดับแบบเดิมเอาไว้ได้ เนื่องจากระยะหลังเริ่มมีเสียงวิจารณ์ในเรื่องบทบาทที่หลายคนมองว่า “ล้ำเส้น” แต่ขณะเดียวกันในมุมของคนที่ชื่นชอบก็อีกแบบหนึ่ง
อย่างไรก็ดีสำหรับพรรคอนาคตใหม่ รวมไปถึงผู้บริหารพรรคที่ไล่เรียงกันไปตั้งแต่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ลงไป ยังต้องลุ้นกับหลายคดีหนักๆที่ต้องเผชิญตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นไป หลังจากก่อนหน้านี้เขาโดนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นสภาพ ส.ส.จากคดีถือหุ้นสื่อ
แต่ก็ยังมีอีกสองคดีหนักที่ว่าก็คือ คดีล้มล้างการปกครองที่ถูกร้องเอาไว้และศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะวินิจฉัยในวันที่ 21 มกราคม และคดีปล่อยเงินกู้ให้กับพรรคจำนวน 191.2 ล้านบาทที่ศาลแจ้งให้ชี้แจงภายใน 15 วัน ซึ่งทั้งสองคดีดังกล่าวล้วนสร้างความระทึกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากผลออกมาเป็นลบแล้วนอกจากบรรดาผู้บริหารพรรคที่เป็นคณะกรรมการบริหารพรรคทั้งหมดจะต้องพ้นจากสภาพ ส.ส.และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองแล้ว ยังอาจจะต้องโดน “ดาบสอง”ตามมาอีกนั่นคือเสี่ยงต่อการติดคุกอีกด้วย นี่แหละถึงได้บอกว่ามันต้องลุ้นกันแบบหายใจไม่ทั่วท้อง เนื่องจากหลายคนฟันธงว่าหนึ่งในสองคดีนี้ต้อง “โดน” สักคดีอะไรประมาณนั้น
แน่นอนว่านั่นจะออกมาในแบบบรรยากาศนอกสภาที่เสี่ยงต่อความวุ่นวายตามมา จากการ “ปลุกระดมมวลชน” ลงถนนจากสาเหตุดังกล่าว
แต่หากโฟกัสเฉพาะในสภามันก็พอมองออกว่า หากเปรียบเทียบทั้งสองฝ่ายระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านภายใต้สภาพการเมืองในปีหน้าแล้ว ก็พอมองออกมาตั้งแต่ในช่วงปลายปีแล้วว่า ฝ่ายรัฐบาล “เริ่มได้เปรียบ” อีกฝ่ายได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากการเห็นท่าทีของ 4 ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ที่แบะท่าชัดเจนว่าพร้อมร่วมงานกับฝ่ายรัฐบาล และตามมาด้วยกรณี 4 งูเห่าของพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกขับออกมาพ้นพรรค และปรากฏว่าพวกเขาก็เลื้อยมาทางพรรคร่วมรัฐบาล ประกอบกับเมื่อการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดขอนแก่น เขต 7 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมาผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐชนะเลือกตั้งทำให้ได้ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นมาอีก 1 เสียง ทำให้หากนับจำนวนเสียงฝ่ายรัฐบาลในอนาคตข้างหน้าถือว่าเป็นกอบเป็นกำไม่น้อย
นอกเหนือจากนี้พิจารณากันในมุมของผู้นำคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก็ต้องยอมรับว่า “มีความยืดหยุ่น” ได้มากกว่าเดิม มีความพร้อมสรรพด้านกำลังหนุน ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญทั้งมวลชนที่ยังให้การสนับสนุนเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งที่ผ่านมาถือว่าสามารถบริหารจัดการพรรคร่วมรัฐบาลที่แม้จะมีถึง 19 พรรคให้เกิดการขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ดีเกินคาด และนับวันเมื่อมีเสียงเข้ามาเพิ่มก็ยิ่งทำให้ถูกมองว่ารัฐบาลจะมีเสถียรภาพมากขึ้นกว่าเดิม ตรงกันข้ามกับฝ่ายค้านที่เริ่มถดถอยลงไป
ดังนั้นหากให้ประเมินการเมืองในช่วงปีหน้าตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นไป แม้ว่าจะมีความเข้มข้นกว่าเดิม แต่ยังเชื่อว่ายังอยู่ในเกมที่ฝ่ายรัฐบาลควบคุมสถานการณ์ได้ เพราะเมื่อพิจารณาจากปัจจัยหลักนั่นคือพรรคร่วมรัฐบาลที่ยังเป็นเอกภาพ และมวลชนส่วนใหญ่ยังให้การสนับสนุน และที่สำคัญยังมั่นใจว่าบรรดา ส.ส.ทุกพรรคยังไม่อยากเลือกตั้งใหม่ในช่วงที่เพิ่งเข้ามาเพียงไม่กี่เดือน จึงมั่นใจว่ายังประคับประคองกันไปได้อีกพักใหญ่นั่นแหละ !!